บนความต่างที่ห่างชั้น ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ vs อาร์เซนอล

บนความต่างที่ห่างชั้น ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ vs อาร์เซนอล

บนความต่างที่ห่างชั้น ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ vs อาร์เซนอล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

11 คะแนนคือ “ความห่าง” ที่เรามองเห็นได้อย่างชัดเจนบนตารางอันดับพรีเมียร์ลีกระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และอาร์เซนอล

แต่นอกเหนือจากนั้นยังมี “ความต่าง” อีกมากที่แม้มองไม่เห็นด้วยตา แต่สามารถสัมผัสได้ด้วยความรู้สึกว่าระหว่างสองทีมที่ได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มทุนจากตะวันออกกลางทั้งคู่นั้น ไม่ได้อยู่ในสถานะที่เรียกว่าใกล้เคียงกันเลย

ในทางตรงกันข้ามมันห่างและต่างมากขึ้นทุกปี

การซื้อ วิลเฟร็ด โบนี่ เข้ามาเพื่อเป็นหัวหอกทางเลือกมาจากสวอนซีในราคา 30 ล้านปอนด์ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ - ตัวเลขที่น้อยกว่าอาร์เซนอล ซื้อซูเปอร์สตาร์หมายเลขหนึ่งของทีมในเวลานี้อย่าง อเล็กซิส ซานเชซ เพียงแค่ 1 ล้านปอนด์เท่านั้น เป็นหนึ่งในสิ่งที่สะท้อนออกมาอย่างเห็นได้ชัด

ทีมหนึ่งจะจ่ายเงินระดับนี้เพื่อแลกกับนักเตะซูเปอร์สตาร์เท่านั้น - ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิด

แต่เมื่ออีกทีมพร้อมจะจ่ายเงินระดับนี้เพื่อแลกกับนักเตะระดับ “อะไหล่” ทั้งที่ทีมไม่ได้มีปัญหาเข้าขั้น “วิกฤติ” ในแนวรุก นั่นหมายถึงพวกเขาจริงจังมากกว่ากับการไล่ล่าความสำเร็จ

ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าแนวทางที่แมนฯ ซิตี้ ทำ ซึ่งเป็นการลอกแบบ “เชลซี โมเดล” ของโรมัน อบราโมวิช คือหนึ่งในหนทางที่นำไปสู่ความสำเร็จในยุคปัจจุบัน ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าได้ผลกับทั้งเชลซี, แมนฯ ซิตี้ รวมถึงปารีส แซงต์-แชร์แมง

และอาจรวมถึงต้นแบบ “กลาคติกอส” อย่าง เรอัล มาดริด ด้วย



เพราะหากไม่ใช่หนทางนี้ อีกหนทางที่จะทำได้คือการสร้างทีมด้วยปรัชญาการเล่นที่ต้องดีที่สุดอย่างแท้จริง เหมือนเช่น บาร์เซโลน่า ในยุคหลายปีก่อนหน้า และบาเยิร์น มิวนิค ในปัจจุบัน

อาร์เซนอล ไม่ได้ทำทั้งสองแนวทางดังกล่าวครับ

อย่างไรก็ดีปัญหาที่มากกว่านโยบายในการกำหนดทิศทางของสโมสร คือเรื่องของ Mentality หรือพูดในแบบกว้างๆให้เข้าใจง่ายในภาษาบ้านเราคือ “ใจ”

เมื่อหันไปมองสถิติ - เพื่อนแท้ที่บอกความจริงได้เกือบทุกเรื่อง - อาร์เซนอล มีปัญหาอย่างมากในการพบกับทีม “ท็อปทรี” โดยฤดูกาลที่แล้วพวกเขาโดน “ถลุง” ยับด้วยผลต่างประตู 17 ต่อ 4 ใน 6 นัดที่พบกับทีมท็อปทรี

หนึ่งในนั้นคือเกมที่โดนลิเวอร์พูล “ถอง” ถึง 5-1 โดยหมดสภาพตั้งแต่ 20 นาทีแรกที่โดนไป 4-0

และหากมองย้อนกลับไปใน 5 ฤดูกาลที่ผ่านมา อาร์เซนอล เป็นทีมที่มีผลงานในการเจอทีมท็อปโฟร์ด้วยกันย่ำแย่ที่สุด โดยใน 36 นัดทั้งเกมในบ้านและนอกบ้านที่พบกับ แมนฯ ยูไนเต็ด, แมนฯ ซิตี้, เชลซี และลิเวอร์พูล อาร์เซนอล พบชัยชนะแค่ 8 ครั้งเท่านั้น

สิ่งที่ทำให้เป็นเช่นนี้นั้น ไม่ใช่แค่เรื่อง “ศักยภาพ” อย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของ “ใจ” ด้วย ซึ่งมองเห็นได้ชัดว่าอาร์เซนอล “ฝ่อ” เมื่อเจอทีมระดับนี้

เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใช้เงินซื้อได้ และไม่ใช่การโยนภาระให้กับซูเปอร์สตาร์คนเดียวอย่าง อเล็กซิส ว่าจะสามารถแก้ปัญหาอาการ “หด” ของหัวใจที่เรื้อรังมานานของอาร์เซนอลได้



มันยากกว่านั้นมากนัก ดังนั้นผมจึงไม่เห็นด้วยกับการที่ เวนเกอร์ โยนทุกอย่างให้เป็นภาระของดาวเตะชาวชิลี ว่าจะช่วยปลดล็อกให้กับกันเนอร์ส ในเกมที่เอติฮัด สเตเดี้ยมได้

ภาระนี้ใหญ่เกินกว่า อเล็กซิส คนเดียวจะแบกรับได้ - มันต้องมีคนอื่นมาช่วย ไม่ว่าจะเป็น เมซุต โอซิล, ซานติ การ์ซอลา, อารอน แรมซีย์, โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์, ธีโอ วัลค็อตต์, อเล็กซ์-อ๊อกซ์เลด แชมเบอร์เลน

พวกเขาต้องทำตัวให้สมกับเป็น Big player ที่พร้อมจะแบกรับทีมได้ เหมือนที่ แมนฯ ซิตี้ มีทั้งเซร์จิโอ อเกวโร่, ยาย่า ตูเร่, ดาวิด ซิลบา, ซาเมียร์ นาสรี่, แวงซองต์ กอมปานีย์ หรือแม้แต่นักเตะอย่าง เจมส์ มิลเนอร์, อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ ที่พร้อมจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ทีมชนะ

ดังนั้นแม้จะมีการพูดถึงความน่าตื่นเต้นในเกมที่เอติฮัด คืนนี้ โดยเฉพาะการชูประเด็น “อเกวโร่ Vs. อเล็กซิส” ให้ดูน่าสนใจ

แต่ตราบใดที่อาร์เซนอล ยังไม่ปรับทัศนคติในการเล่นและการบริหารทีมใหม่

พวกเขาจะอยู่ในสภาพ “ลูกไล่” เช่นนี้ไปตลอด และยิ่งเวลาผ่าน ยิ่งยากจะกลับมายืนในจุดเดิมอีกครั้ง


Football Insight
by ลูกแม่กิ่ง (lookmaeking@hotmail.com)



 
* Head-to-head
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่แพ้อาร์เซนอล ในการพบกัน 5 ครั้งหลังสุด (ชนะ 2 เสมอ 3)
- พวกเขาแพ้แค่เกมเดียวใน 6 นัดหลังสุดต่ออาร์เซนอล ที่เอติฮัด
- ผลการแข่งที่พบกันล่าสุดที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม จบลงด้วยการเสมอ 2-2
- อเล็กซิส ซานเชซ มีส่วนกับ 19 ประตูของอาร์เซนอลในฤดูกาลนี้ (ยิง 12 จ่าย 7) มากกว่าทุกคนในพรีเมียร์ลีก รองลงมาคือ เซร์จิโอ อเกวโร่ (17)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook