สกู๊ปสุดพิเศษ : ส่องกล้องมองความพร้อม 4 ทีมลุย "คิงส์คัพ"

สกู๊ปสุดพิเศษ : ส่องกล้องมองความพร้อม 4 ทีมลุย "คิงส์คัพ"

สกู๊ปสุดพิเศษ : ส่องกล้องมองความพร้อม 4 ทีมลุย "คิงส์คัพ"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

พรุ่งนี้แล้ว ที่ศึกลูกหนังเก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ จะกลับมาระเบิดความสนุกตื่นเต้นกันอีกครั้ง สำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 43

โดยในปีนี้ จ.นครราชสีมา รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ โดยใช้สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เป็นสังเวียนจัดการแข่งขัน พร้อมส่งเทียบเชิญทีมอีก 3 ทีมแกร่ง เข้าร่วมการแข่งขันระหว่างวันที่ 1-7 กุมภาพันธ์นี้

หลังจากว่างเว้นไปในปี 2557 เนื่องจากโปรแกรมที่อัดแน่นจนกระดิกตัวไม่ได้ ของทั้งฟุตบอลลีกในประเทศ และโปรแกรมแข่งขันของทีมชาติ

ทำให้ในปีนี้ ความโหยหาของแฟนบอลย่อมสูงขึ้นเป็นธรรมดา โดยเฉพาะความนิยมที่พุ่งกระฉูดของขุนพลช้างศึกหนุ่ม ที่ทวงคืนความสำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี

และเป็นการครองความยิ่งใหญ่แบบเบ็ดเสร็จทั้งซีเกมส์ และเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ โดยเฉพาะรายการหลัง ทำเอาสนามบินดอนเมืองเล็กไปถนัดตา เพราะแฟนบอลหน้าเก่า หน้าใหม่ ไปต้อนรับฮีโร่กลับบ้านอย่างอบอุ่น

ดังนั้น ก่อนที่ศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 43 จะกลับมาระเบิดแข้งกันอีกครั้ง เราจะไปเจาะขุมกำลังของทุกทีม รวมทั้งโอกาสความน่าจะเป็นสำหรับแชมป์ในการแข่งขันครั้งนี้กัน

ทีมชาติฮอนดูรัส ยู-20

ถ้าพูดถึง ฮอนดูรัส แน่นอนว่าชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหูสำหรับแฟนบอลไทยเท่าที่ควร แต่ทีมอันดับ 72 ของโลก จากการจัดอันดับโดยฟีฟ่า ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในระดับนานาชาติได้ดีไม่น้อย

สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก มาได้สองสมัยติดต่อกันในปี 2010 และ 2014 ถึงแม้ว่า ในครั้งนี้จะส่งเพียงทีมเยาวชน ชุดอายุไม่เกิน 20 ปี มาแข่งขัน แต่ในเรื่องฝีเท้า เป็นสิ่งประมาทไม่ได้แม้แต่เสี้ยววินาที

เพราะสามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายศึกฟุตบอลโลก ยู-20 รอบสุดท้ายที่ประเทศนิวซีแลนด์ ได้สำเร็จ ในช่วงเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน ที่จะถึงนี้ เป็นการการันตีฝีเท้าได้โดยไม่ต้องอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น

สำหรับดาวดังที่คาดว่ากุนซือใหญ่ จอร์จ ฆิเมเนซ จะนำขบวนแข้งยังเติร์กมาโชว์ฝีเท้าในครั้งนี้ น่าจะนำทัพโดย อัลเบิร์ต เอลิส และ จูเนียร์ ลาคาโญ่ สองกองหน้าอนาคตไกล

นอกจากนี้ ยังมีเสริมด้วยสองตัวเก่งที่ถูกเรียกมาติดทีมในครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษอย่าง หลุยส์ โลเปซ นายทวารดาวรุ่งวัย 21 ปี และ เควิน เอสปิโนซา เพลย์เมกเกอร์ ที่หลายทีมในยุโรปกำลังจับตามอง

โดยทีมชาติฮอนดูรัส ชุดอายุไม่เกิน 20 ปี จะประเดิมการแข่งขันคิงส์คัพ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์พบกับทีมชาติไทยในนัดแรก ถึงแม้ว่ามีการตีตั๋วผ่านเข้าไปเล่นในศึกฟุตบอลเยาวชนโลกแล้ว แต่สำหรับครั้งนี้โอกาสในการคว้าแชมป์คงไม่ใช่เรื่องง่าย

เพราะหลายทีมต่าง เตรียมตัวมาดีด้วยกันทั้งสิ้น รวมถึงกระดูกชิ้นโตอย่างทีมชาติไทย ในฐานะเจ้าภาพที่จะพบกันในนัดแรก ดังนั้น เป้าหมายของ ฮอนดูรัส น่าจะอยู่ที่การเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากกว่า

ทีมชาติอุซเบกิสถาน ยู 23

พลพรรคอุซเบกิสถาน ขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องของความเก่งกาจในทวีปเอเชีย เพราะหากมองแบบผ่านๆ พวกเขาก็คือยุโรปดีๆ นี่เอง ด้วยความได้เปรียบเรื่องรูปร่าง และการรวมตัวกันมาอย่างยาวนาน

ทำให้ในครั้งนี้ ทีมชุดความหวัง ที่ต้องการไปโชว์ฝีเท้าในศึกโอลิมปิกรอบสุดท้ายในปีหน้าที่บราซิล คงเป็นทีมที่มองข้ามไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง แม้จะมีอายุเฉลี่ยเพียงแค่ 22 ปี ก็ตาม

ด้านความพร้อมของนักเตะถึงแม้จะยังไม่มีการแบโผผู้เล่นอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะเห็นส่วนผสมที่ลงตัว ของผู้เล่นเยาวชนชุดผ่านเข้าไปเล่นในศึกฟุตบอลโลก อายุไม่เกิน 20 ปี ที่นิวซีแลนด์ในช่วงกลางปีนี้ เช่นเดียวกันกับ ฮอนดูรัส

 

เพราะทีมชุดดังกล่าวต่างอุดมไปด้วยดีกรี เนื่องจากเป็นชุดที่ได้แชมป์เยาวชน 16 ปี ชิงแชมป์เอเชีย และรวมตัวกันมาอย่างต่อเนื่อง จนคว้าตั๋วไปลุยฟุตบอลโลกเยาวชนได้ทั้งชุด 17 ปี และ 20 ปี ตามลำดับ บวกกับเหล่านักเตะที่โชว์ฟอร์มดีในลีกที่จะเตรียมมาสร้างสีสันในการแข่งขันได้เป็นอย่างดี

สำหรับโอกาสความน่าจะเป็นสำหรับทีมอุซเบกิสถานในการแข่งขันครั้งนี้ ค่อนข้างมีสูงที่จะเบียดแย่งแชมป์กับทีมชาติไทยและเกาหลีใต้ เนื่องจากมาตรฐานที่ค่อนข้างสูงและชั่วโมงบินในเกมระดับชาติ ที่สำคัญคือรูปร่างที่ได้เปรียบคู่แข่ง ทำให้อาจจะต้องลุ้นกันในนัดสุดท้ายเลยก็เป็นไปได้

ทีมชาติเกาหลีใต้ ยู 23

ถ้าไม่นับนักร้องเคป๊อป ก็คงมีแต่ทีมฟุตบอลเท่านั้นที่เป็นสิ่งที่คนไทยโดยส่วนใหญ่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และพลพรรค “ฮันกุ๊ก” ทีมชุดนี้ถูกเตรียมตัวกันมาอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการก้าวขึ้นมาคว้าเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่อินชอน ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา

ซึ่งเชื่อว่าแฟนบอลไทยน่าจะจำกันได้เป็นอย่างดี แม้ผลงานการอุ่นเครื่องกับทีมในไทยลีกอย่าง โอสถสภาฯ และ การท่าเรือ กลับไม่สวยหรูอย่างที่หลายคนคาด เพราะแพ้ทั้งสองนัด แต่ถ้ามองให้ดี เชื่อว่านี่น่าจะเป็นการเก็บอาวุธเด็ดเอาไว้โดยไม่แพร่งพราย ให้กับสื่อไทยได้ล่วงรู้ ซึ่งอาจจะพูดได้ว่าทีมโสมขาว “กั๊ก” หรือ “ไม่ปล่อยของ” ก็คงจะไม่ผิดนัก

ด้านตัวผู้เล่นชุดนี้นำโดย เฮดโค้ช ลี กวาง จอง ที่เคยพาทีมชาติบ้านเกิดคว่ำไทยมาด้วยสกอร์ 2-0 ในรอบตัดเชือก อินชอนเกมส์ ที่ผ่านมา และเป็นทีมแรกที่แบโผผู้เล่นอย่างเป็นทางการ

โดยเฉพาะแท็กติกคงเดากันออกได้ไม่ยาก เพราะหนีบเอากองหน้ามาเพียงแค่สองรายเท่านั้น คือ คิม จิน ฮุก จาก แดกู เอฟซี และ คิม ฮุน จาก เจจู ยูไนเต็ด ขณะที่คัดเอากองกลางมามากถึง 9 คน ด้วยกัน โดยเฉพาะ มูน ชาง จิน และ กวาง ซาง วู สองดาวรุ่งจาก โปฮัง สตีลเลอร์

ส่วนโอกาสความน่าจะเป็นในการหยิบแชมป์กลับไปอีกครั้ง หลังจากที่ ฮอง เมียง โบ ตำนานเดินได้ของเกาหลีใต้ เคยทำได้เมื่อการแข่งขัน ครั้งที่ 41 เมื่อปี 2555 โดยทีมชุดนั้นสามารถก้าวไปได้ไกลด้วยการคว้าเหรียญทองแดงในโอลิมปิก 2012 ลอนดอนเกมส์ ด้วย

และที่สำคัญคือการที่ต้องโคจรมาเจอกับไทยในนัดสุดท้าย ซึ่งความน่าสนใจอยู่ที่ การล้างตาจากเอเชียนเกมส์ ที่ไทยพ่ายไปแบบค้านสายตาในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งนี่น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่ ขุนพลช้างศึก และ โสมขาว จะได้มีโอกาสทบทวนความแข็งแกร่งรวมทั้งฝีเท้ากันอีกครั้ง

ทีมชาติไทย

ในฐานะเจ้าภาพที่ว่างเว้นจากการเป็นแชมป์มานานถึง 8 ปี โดยในครั้งสุดท้าย คว้าแชมป์ในปี 2550 โดยที่ผู้เล่นในชุดดังกล่าวปัจจุบันอายุอยู่ในวัยใกล้บั้นปลายการค้าแข้งแทบจะทั้งนั้น

แต่ในครั้งนี้เหล่าบรรดาขุนพลช้างศึกทีมชาติไทยแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง เพราะมีแต่นักเตะหนุ่มที่พร้อมจะลงไปเล่นแบบถวายหัวให้กับกุนซือที่เคารพรัก อย่าง “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง โดยยึดแกนหลักจากชุด แชมป์ซีเกมส์ ที่พม่า เรื่อยมาจนถึงแชมป์ ซูซูกิ คัพ เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา

ด้านตัวผู้เล่น ชุดนี้เชื่อขนมกินได้ในหลายตำแหน่ง ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตูไปจนถึงกองหน้าถึงตัวสำรองข้างสนาม นำทีมโดย กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ จะเป็นการพิสูจน์ตัวของ มิก้า ชูนวลศรี กองหลังก้ามปู ที่ได้รับแรงเชียร์จากแฟนบอลในการติดทีมชาติมาอย่างต่อเนื่อง

ด้านกองกลางถึงแม้ว่าพระเอกของงานอย่าง ชาริล ชัปปุยส์ จะบาดเจ็บจนต้องถอนตัวออกไป แต่ก็ยังมี 2 มิดฟิลด์ตัวกลั่นที่กลับมาติดทีมชาติใหม่อีกคำรบ ทั้ง "ป๊กโกะ" ปกเกล้า อนันต์ และ "เจ้านิว" ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ซึ่งเป็นจอมเทคนิคด้วยกันทั้งคู่

และในการแข่งขันครั้งนี้เราอาจจะได้เห็นลูกยิงไกลสวยๆกันหลายลูก เพราะเป็นทีเด็ดของทั้งคู่ โดยเฉพาะ ฐิติพันธ์ ที่เป็นของแสลงสำหรับเกาหลีใต้ สามารถยิงประตูทีมโสมขาวได้ทุกนัด

ส่วนกองหน้า อดิศักดิ์ ไกรสร น่าจะได้ยืนเป็นหน้าเป้า ล่าตาข่ายให้กับทีมชาติไทยในทุกๆ นัดอย่างแน่นอน ส่วน "เมสซี่เจ" ชนาธิป สรงกระสินธุ์ ตัวทีเด็ดจอมพลิ้ว น่าจะมีชื่อลงตัวจริงทุกนัด ถ้าไม่มีอาการเจ็บรบกวน

สำหรับโอกาสความน่าจะเป็นในครั้งนี้ พูดได้เต็มปากว่าทีมชาติไทยมีลุ้นคว้าแชมป์มากกว่าในครั้งที่ผ่านมา ทั้งนี้ ไม่ใช่เพราะทีมคู่แข่งส่งเยาวชนมาร่วมแข่งขัน แต่เป็นเพราะทีมเวิร์ก และการเตรียมทีมอย่างต่อเนื่อง

รวมถึงรูปแบบการเล่นที่ไฉไล ดูดีมีอนาคต ซึ่งจะสามารถต่อกรกับคู่แข่งได้ไม่ยาก โดยเฉพาะในนัดสุดท้ายที่หากทั้ง ไทย และ เกาหลีใต้ ไม่สะดุดขาตัวเองแพ้ก่อนในสองนัดแรก ก็น่าจะเป็นเหมือนนัดชิงชนะเลิศกลายๆ ในการแย่งแชมป์ของทั้งคู่ก็เป็นได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook