My Liverpool : by มาร์ก สุรเดช สันติเลิศประภพ

My Liverpool : by มาร์ก สุรเดช สันติเลิศประภพ

My Liverpool : by มาร์ก สุรเดช สันติเลิศประภพ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ชัยชนะเหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่าตามด้วย เบิรน์ลี่ย น้องใหม่ในเกมลีกกลางสัปดาห์ทำให้สถานการณ์การลุ้นพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก สำหรับ ลิเวอร์พูล ยังคงมีลุ้นอย่างต่อเนื่อง

หลังจากพวกเขายังคงเป็นทีมเดียวที่ยังไม่แพ้ใครในลีกนับตั้งแต่เปลี่ยนเข้าสู่ปี 2015 พร้อมกับยังเป็นการเก็บ 3 คะแนนได้เป็นเกมที่ 7 ใน 8 เกมหลังสุดอีกด้วย

หลังจากที่อุตส่าห์กลับมาคว้าสิทธิ์ไปเล่นฟุตบอลรายการใหญ่สุดของยุโรป ในระดับสโมสรอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้หนแรกในรอบหลายปีได้สำเร็จในฤดูกาลก่อน

ลิเวอร์พูล ก็ต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อจะรักษาพื้นที่นี้เอาไว้ สำหรับการจะกลับไปลุยยุโรปอีกครั้งในฤดูกาลหน้า ด้วยการต้องพยายามทำอันดับในลีกให้ดีที่สุด เนื่องจากโควตาของพรีเมียร์ลีกนั้นมีให้เฉพาะทีม 4 อันดับแรกเท่านั้น

แม้จะออกสตาร์ทฤดูกาลนี้แบบกระท่อนกระแท่น มีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นทั้งซื้อมาใหม่ ทั้งขายออกไป แล้ว



พวกเขายังเผชิญกับอาการบาดเจ็บต่อเนื่องของ ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ จนทำให้ทีมต้องประสบปัญหาอย่างหนักในเรื่องการทำประตู

จวบจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงปลายปีที่หลังจากแก้ไขปัญหาในเกมรับด้วยการหันมาใช้ระบบเซนเตอร์ 3 คนแล้ว ผลงานของ “หงส์แดง” จึงค่อยตะแคงฟ้าได้อย่างที่แฟนๆต้องการ

ลิเวอร์พูล อาจจะจอดป้ายฟุตบอลยูโรป้า ลีก ด้วยฝีเท้าของ เบซิคตัส ในรอบ 32 ทีมสุดท้ายเท่านั้น แต่เชื่อว่าหลายๆคนคงมองคล้ายๆกันว่า เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ดูจะต้องการให้ทีมเน้นกับการทำอันดับติดอยู่ใน 4 อันดับแรกให้ได้เป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดที่เหลืออยู่

เพราะการได้แชมป์ยูโรป้า ลีก อาจจะทำให้พวกเขาต้องพะว้าพะวงกับการต้องทำผลงานให้ดีในหลายรายการและนั่นอาจทำให้พลาดเป้าหมายที่ใหญ่กว่าไปนั่นเอง



จาก 3 แต้มในเกมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามด้วย เบิร์นลี่ย์ ติดๆกันทำให้ ลิเวอร์พูล มีคะแนนห่างจากทีมอันดับ 2-4 ไม่ว่าจะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7, 3 และ 2 คะแนนตามลำดับ

และทำให้ความหวังที่จะสอดแทรกเข้าไปอยู่ในกลุ่ม 4 อันดับแรกนั้นเริ่มเป็นภาพที่เด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

นั่งดูเกมที่ ลิเวอร์พูล เล่นกับ เบิร์นลี่ย์ เมื่อกลางสัปดาห์ ยอมรับว่า ลิเวอร์พูล ในเวลานี้กลับมาเล่นฟุตบอลที่สนุกเหมือนกับในฤดูกาลก่อน

เพียงแต่พวกเขาอาจจะขาดตัวรุกสีสันอย่าง หลุยส์ ซัวเรส ไป แต่ทีมกลับลงตัวมากขึ้นและเล่นเป็นทีมมากขึ้นกว่าเดิมชนิดที่ทำให้เริ่มจะลืมชื่อของ ซัวเรส กันไปบ้างแล้ว

ผมเห็นด้วยกับ มาร์ค ลอว์เรนสัน อดีตกองหลังจอมแกร่งของทีมและปัจจุบันเป็นทั้งกูรู และ คอมเมนเตเตอร์ ดังทางทีวีในอังกฤษ ที่มองว่าเกมรับที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างผิดหูผิดตาในช่วงปีใหม่ คือปัจจัยที่หนุนส่งให้ ลิเวอร์พูล แรงมาตลอด

ระบบเซนเตอร์ 3 คนไม่ใช่ของแปลกใหม่สำหรับ ลิเวอร์พูล หรือ ฟุตบอลอังกฤษ เพราะหากย้อนกลับไปในช่วงสมัยที่ รอย อีแวนส์ ยังคุมทีมในช่วงทศวรรษที่ 90 นั้น ลิเวอร์พูล ก็เคยเล่นฟุตบอลทั้งสนุกและมีลุ้นความสำเร็จให้เห็นมาแล้ว

การปรับตัวได้ดีขึ้นเรื่อยๆของ เอ็มเร่ ชาน บวกกับการเรียกความมั่นใจคืนกลับมาถูกเวลาของ ซิมง มินโญเล่ต์ ถือเป็นสัญญาณบวกอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหลัง



รายแรกนั้นเล่นได้ดีขึ้นเรื่อย และความเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ของเขาจะทำให้ ชาน กลายมาเป็นนักเตะที่ ร็อดเจอร์ส ต้องใส่ลงสนามในทุกเกมหากไม่ต้องการให้นักเตะพัก หรือ เลี่ยงการโดนแบน

สำหรับ มินโญเล่ต์ นั้น หลังจากโดน แบร็ด โจนส์ แย่งตำแหน่งมือ 1 ของทีมไปทำให้เขาต้องเผชิญกับความจริงเรื่องฟอร์มอันย่ำแย่ของตัวเองช่วงต้นฤดูกาล แต่แล้วอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับ โจนส์ ก็เปิดทางให้ มินโญเล่ต์ ได้กลับคืนสู่ทีมอีกครั้ง

และหนนี้เหมือนกับเขาไม่ต้องการจะให้ใครมาแย่งตำแหน่งมือ 1 ของทีมได้อีก ทำให้ มินโญเล่ต์ กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยมและเริ่มเก็บคลีนชีตได้มากขึ้นเรื่อยๆ

แดนกลางของทีมที่เวลานี้แม้จะยังไม่มี สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมตัวจริงที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ ทว่ากับฟอร์มของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มีส่วนที่ช่วยทำให้ทีมยังเดินหน้าต่อไปได้แบบไม่มีสะดุด

จากการเป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษชุดเล็ก ขณะที่ เจอร์ราร์ด เป็นกัปตันทีมชาติชุดใหญ่ มาถึงตรงนี้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กำลังพิสูจน์คุณค่าในฝีเท้าของเขาให้กับแฟนๆลิเวอร์พูลได้มั่นใจว่าเขาพร้อมจะก้าวขึ้นมาเป็นแคนดิเดตในตำแหน่งกัปตันทีมของลิเวอร์พูลในฤดูกาลหน้า เมื่อ เจอร์ราร์ด จะอำลาทีมไป

อันที่จริง ไม่ได้มีเพียงแค่กลุ่มนักเตะที่ผมเอ่ยนามมาที่เล่นได้ดี แต่ต้องบอกว่านักเตะแต่ละคนของ ลิเวอร์พูล กำลังกลับมาเล่นด้วยความเชื่อมั่นอีกครั้งนั่นจึงทำให้ผลงานของทีมโดดเด่นอย่างมากนับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2015



สุดสัปดาห์นี้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้มีโปรแกรมลงเตะในลีก โดยพวกเขาจะต้องเล่นกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ที่แอนฟิลด์ ในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย

และหากกวาดตาดูจากคู่แข่งที่เหลืออยู่แล้ว คงจะมีเพียงแค่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์รายการนี้มากที่สุด กับ อาร์เซน่อล แชมป์เก่า ที่เป็นกระดูกชิ้นโตขวางทางพวกเขาอยู่

 แต่อาจเป็นโชคดีของ ลิเวอร์พูล ด้วยอย่างที่เราทราบกันล่ะครับว่าทั้ง “ปีศาจแดง” และ “ไอ้ปืนใหญ่” กลับต้องมาปะทะแข้งกันเองในรอบ 8 ทีมสุดท้ายนี้และจะเหลือเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะผ่านเข้ารอบต่อไป

สำหรับ ลิเวอร์พูล นั้นเคยครองแชมป์เอฟเอ คัพ มาแล้วทั้งสิ้น 7 ครั้งด้วยกัน หนแรกสุดของพวกเขาที่ได้แชมป์นั้นเป็นการเอาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในปี 1965 ได้แชมป์ในยุคของ บิล แชงค์ลี่ย์

ส่วนหนล่าสุดที่ได้แชมป์นั้นเกิดขึ้นในปี 2006 ที่เอาชนะ เวสต์แฮม ไปแบบสุดระทึก ส่วนการเข้าชิงหนสุดท้ายนั้นเกิดขึ้นในปี 2012 ที่ไปแพ้ต่อ เชลซี 1-2 และยังเป็นการได้ไปเหยียบเวมบลี่ย์หนสุดท้ายของทีมอีกด้วย

เรื่องโดย : มาร์ก สุรเดช สันติเลิศประภพ

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook