เรื่องเล่าจาก "ทีมงานบัวขาว" ขอระบายผ่านสื่อโซเชียล! "รอยช้ำจากไฟต์ล่าสุด"

เรื่องเล่าจาก "ทีมงานบัวขาว" ขอระบายผ่านสื่อโซเชียล! "รอยช้ำจากไฟต์ล่าสุด"

เรื่องเล่าจาก "ทีมงานบัวขาว" ขอระบายผ่านสื่อโซเชียล! "รอยช้ำจากไฟต์ล่าสุด"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตนักมวยของ "บัวขาว บัญชาเมฆ" วัย 33 ปี ที่แพ้คะแนน "คายัล ดิซานิเยฟ" นักชกชาวรัสเซีย วัย 22 ปี

ในศึกท็อปคิงส์ เวิลด์ ซีรี่ส์ รอบไฟนอล ที่เวทีมวยสตาร์ฮอลล์ เมืองเกาลูน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ยังคงเป็นภาพที่หลายคนมีข้อสงสัยถึงความปราชัยในครั้งนี้

ล่าสุด เฟซบุ๊ก เพจ "Banchamek Gym" ได้โพสต์ข้อความไปถึงแฟนๆของบัวขาว ถึงความเป็นมาเป็นไปของบัวขาว ในมุมมองของทีมงานบ้าง

เรื่องราวที่ถูกเล่าผ่านเพจดังกล่าว มีข้อความดังนี้.....

นานๆ จะเล่าทีตอนที่ 2 ทีมงานของบัวขาวเองมองว่าการชกครั้งนี้ สภาพร่างกายเเละการชกดีกว่า 4 ไฟต์ที่ผ่านมาด้วยซ้ำ จะเล่าถึงข้อมูลทางด้านนี้ให้ฟังบ้างครับ ไม่ไช่เพื่อมีข้ออ้างหรืออย่างใดอย่างอื่นประการใด

ซึ่งทีมงานของบัวขาว และ ตัวบัวขาวเอง ไม่ค่อยได้พูด ปริปาก หรือไม่เคย วิเคราะห์ วิจารณ์ให้คนอื่นทราบ มาตลอด 7 ปีเต็มที่ร่วมงานกับบัวขาวมา


ก่อนอื่นทางทีมงาน ของบัวขาวมีหลายส่วนช่วยร่วมมือกันหลายด้านทั้ง ด้านทักษะ ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา สมรรถภาพทางกาย ด้านสมาธิจิตวิทยา ด้านทางทีมแพทย์ ด้านผู้สนับสนุน

ทีมงานด้านสมรรถภาพมีประสบการณ์ เกี่ยวกับกีฬาต่างๆ มาบ้างคือ จบปริญญาตรี พลศึกษา จาก มหาวิทยาลัยบูรพา ปริญญาโท วิทยาศาสตร์การกีฬา จาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์"

ซึ่งตั้งเเต่หลังปี 2006 มาบัวขาวมีอาการการบาดเจ็บรบกวน และอย่างอื่นที่หนักหนาสำหรับเขา เป็นต้นมาบัวขาวไม่เคยได้แชมป์อะไรอีกเลยจากนั้นมา ปลายปี 2008 ได้เข้ามาร่วมงานกับบัวขาว

ได้เช็กเเละพบว่า ตอนนั้น บัวขาวอายุ 26 ย่าง 27 ปี แถมเจ้าตัวพูดเปรยๆ ว่า ดูทรงแล้วผมท่าจะไม่ไหวนะ ทีมงานถามลองดูมั้ยล่ะ

ตอนนั้นอาการ เส้นหลังขาตึงจนนั่งขัดสมาธิไม่ได้ มีการบาดเจ็บกระดูกข้อมือซ้นเรื้อรัง เอ็นอักเสบที่ข้อเท้าซ้าย เจ็บเอ็นเข่า และเจ็บหัวไหล่ เนื่องจากอุบัติเหตุทางมอเตอร์ไซค์

และจากนั้นค่อยๆ รักษาต่อเนื่องมาหลายปี ดูแลจนแข็งแรงขึ้น ด้วยความเป็นมืออาชีพ และ ความมีวินัยอย่างเเรงกล้าของเขาเอง


บัวขาวอดทนรักษาฝึกตนตามโปรแกรม จนร่างกายแข็งแกร่ง จนหายจากการบาดเจ็บดังกล่าวสิ้น ตอนนี้บัวขาว อายุ 33 ปี ทีมงานพูดได้อย่างเต็มปากว่าบัวขาว แกร่งกว่าตอน อายุ 27 ซะอีก

ครั้งแรกร่วมงานกันปี 2009 รวม 43 ไฟต์ ชนะ 40 ไฟต์ ได้แชมป์โลก 9 เส้น

จนถึงวันนี้ 2015 ให้คนได้คิดได้ พูด วิเคราะห์ สังเคราะห์ ให้กำลังใจ เอาใจช่วย เชียร์ ตำหนิ ถากถาง เสียดสี ใช้ปากคิดแทนสมอง จนถึงวันนี้ ซึ่งเรายอมรับฟัง และเข้าใจ

ส่วนเรื่องแพ้ ถูกกรรมการตัดสินให้แพ้ 3 ไฟต์ ซึ่งเราก็ยอมรับและเคารพการตัดสิน

คือ 1. แพ้ แอนดี้ ชาวเว่อร์ อย่างกังขา ปี 2009

2. แพ้ เคล ที่พัทยา ที่ไม่ต่อย ยกสี่ ปี 2014

3. แพ้ คะเเนนครั้งนี้ที่ฮ่องกง 2015

ก่อนการไปแข่งขันครั้งนี้ ร่างกายบัวขาวได้รับการตรวจความพร้อมเเละดูดีขึ้นมากทั้งด้าน ทักษะการชก กล้ามเนี้อ การบาดเจ็บ เพราะ 4 ไฟต์ที่ผ่านมา บัวขาวเรื้อเวทีมานานเกือบครึ่งปีไม่มีการชก

เรื่องอะไรก็คงรู้กันดี เพราะห่างจาก การแข่งขันมากไปจะมีผลเสียมากทำให้ออกอาวุธได้ช้า


ทักษะที่สำคัญไม่ได้ฝึกทบทวนชกบ่อยเกินไปก็ไม่ดี แล้วจะทราบอย่างไรว่าบ่อยไปไหม คือทีมงานจะตรวจร่างกายทางด้านการแพทย์ เเละด้านสมรรถภาพ

ถ้าไม่พร้อมต้องเลื่อนการแข่งขัน หรือไม่ลงแข่งขัน ที่เหมาะสมกับบัวขาวเองคือ เดือนละครั้ง หรือนานกว่านั้น อาจชิดกว่านั้นได้ถ้าเช็คแล้วร่างกายพร้อม จากทีมงานด้านต่างๆ

5 ปีที่ผ่านมา บางคนอาจยังไม่ทราบว่า บัวขาว ได้เซ็น MOU ความร่วมมือเเลกเปลี่ยนทางวิชาการ กับ คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ความร่วมมือครั้งนี้ ได้เก็บข้อมูลแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ ออกเเบบพัฒนาวิธีการฝึกซ้อม แบบฝึกสมรรถภาพทางกาย

ซึ่งมีคุณค่าทางวิชาการเป็นอย่างมาก และบัวขาวเองก็ได้แสดงออกถึงความสามารถแและความรู้ ในการร่วมคิดค้นออกเเบบพัฒนาแบบฝึกสมรรถภาพทางกายของมวยไทย ให้ทางคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ประจักษ์

และให้การร่วมมือ สนับสนุนกับทาง คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นอย่างดี



จนมีการพิจารณาจากสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อย่างเป็นเอกฉันท์ อนุมัติ ปริญญาโท ปริญญามหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ซึ่งช่วงนั้นก็มีกระแสคนไทยบางส่วนตำหนิ หรือพูดจาว่า ดังแล้วมีชื่อเสียงอะไรก็ได้ดูดีไปหมด ซะงั้น

เรื่องของเกมส์กีฬามีแพ้ชนะเป็นธรรมดา อยากบอกว่าบัวขาวเป็นแค่นักมวยมีหน้าที่ชกบนเวที พี่เลี้ยงหรือทีมงานอาจจะขึ้นไปบนเวที หรือทำเกินหน้าที่ไปบ้างซึ่งเรายอมรับ

บัวขาวเป็นนักสู้มีหน้าที่สู้บนเวทีต่อไป คนที่จะยุติการชกได้คือ กรรมการห้ามบนเวทีและแพทย์สนามเท่านั้น แม้กระทั่งการจับแพ้ หรือรวมคะเเนนให้แพ้ หรืออาจยุติด้วย คู่ต่อสู้น็อคบัวขาว หรือ นักกีฬายอมแพ้ทิ้งตัวลงนอนบนพื้นเวที

บัวขาวได้แสดงบทพิสูจน์ให้ทีมงานยอมรับและนับถือหัวใจของเขา เห็นว่า ในร่างกายเขามีเลือดของนักรบอย่างแท้จริง

เขาพร้อมทั้งทางด้านร่างกายเเละจิตใจ สมาธิ ไหวพริบ การแก้สถานการณ์ ถึงแม้จะเสียเปรียบเรื่องการมองเห็น คนที่ไม่เคยเลือดเข้าตาคงไม่ทราบ ว่ามันเจ็บเเสบยังไง เช็ดยังไงก็ไม่ออก



จึงโดนอาวุธหนักแรง จังๆ หลายครั้ง บัวขาวไม่แสดงอาการยุบแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับคู่ต่อสู้ แสดงอาการและโดนอาวุธบัวขาวอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆ ที่เสียเลือดมาก

ทั้งสามยก แสดงถึง สภาพร่างกายที่เเข็งแกร่งจนทีมงานเองยังยอมรับ อีกบทพิสูจน์นึงของร่างกายบัวขาว

หลังจากกลับมา บัวขาวเข้ารักษาพบทีมแพทย์อย่างละเอียด ทำการตรวจดวงตา การมองเห็น ระบบประสาทการทรงตัว ทำการ สแกนกระดูก และกะโหลก ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด

รวมถึงอวัยวะภายในส่วนอื่นๆ มีอาการภายนอกแค่ฟกช้ำและผิวหนังฉีกขาด ที่โดนศอกเท่านั้น ทีมหมอสรุปให้ความเห็น ว่าสามารถพักรักษาตัวแค่ 2 สัปดาห์ ตัดไหมแล้วก็ฟิตซ้อมต่อได้เลย แต่ก็จะตรวจประจำรายเดือนเรื่อยๆ เพื่อติดตามผล"

ส่วนสมรรถภาพทางจิตใจนั้น บัวขาวได้แสดงบทพิสูจน์ให้ทีมงานยอมรับและนับถือหัวใจของเขา ช่วงพักยกทุกยก



ทีมงานถามตลอดทั้งว่า "ไหวมั้ย?"

บัวขาวยิ้มและ บอกว่า "ได้ๆ พี่"

ช่วงปลายยกสามทีมงานเอาผ้าที่มีเลือดแดงฉานคลุมทั้งหัวบัวขาว

ถามบัวขาวอีกว่า "ไหวมั้ย พอก่อนไหม"?

 บัวขาวเองสัญญาณเต็มที่ "ว่าสู้ซิ...ยังไหว"

"หลังจากตัดสินให้แพ้แล้ว ทีมงานพาบัวขาวเข้าห้องพักเพื่อปฐมพยาบาล"

ทีมงาน...ถ้าสมมุติว่ากรรมการให้ชนะจะชกต่อไหม

บัวขาวตอบ...สู้ต่อครับ!

ทีมงาน....(พูดไม่ออก)



จากใจทีมงาน บัวขาวเกินข้ามขอบเขตเรื่องชนะหรือแพ้ได้แชมป์กี่เส้นอะไร หรือ ไม่อย่างไรไปนานแล้ว นั่นคือ นักรบมวยไทย จากนักสู้บ้านนอกลูกอีสานคนหนึ่ง ที่ทำในสิ่งที่ตนเองรักและศรัทธา

ในเหตุการณ์วันนั้นว่าทำไมพี่บัวไม่ทำแบบนั้น ทำไมบัวขาวไม่แก้แบบนี้ ทำไมไม่ชกแบบคนนั้น

คือ ช่วงสิบกว่าวินาทีของยกแรก พลาดโดนศอกครับ เเล้วเลือดไหลเข้าตาเคลือบตลอด แสบมาก เวลาเลือดเข้าตา มองเห็นข้างเดียวครับ เลยป้องกันและตอบโต้ไม่ถนัดและไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น

กลางๆ ยกที่ 1 เลือดไหลออกมามากจนเข้าตาข้างที่สองบ้าง หลังจากนั้น พี่บัวขาว มองเห็นแค่กางเกงของคู่ชก ขาวๆ ลอยๆ มาเท่านั้น แต่ก็กัดฟันสู้จนถึงวินาทีสุดท้ายครับ

หลายๆครั้งหลายครา ในการชกแต่ละครั้ง มีเรื่องราวต่างๆ ในตัวของมันเอง

พี่บัวขาวบอกเสมอว่า ไม่ต้องอธิบายอะไรหรอก แค่ให้รู้ตัวเองว่าเราพยามทำให้ถึงที่สุดให้เต็มที่เท่านั้นพอ

มีคนถามว่ากลัวเเพ้มั้ย ตอนนั้นบัวขาวตอบผมไม่ได้คิดเรื่องแพ้หรือชนะแล้ว ผมรู้แต่ว่าถ้ายังสู้ได้ สู้ไหว "ผมหยุดสู้ไม่ได้" เท่านั้น



บัวขาวเติบโตขึ้นมีชื่อเสียงขึ้น ในระดับสากล แล้วไม่ลืมชาติกำเนิดไม่ลืมความเป็นมา ยังไปจับปลาในหนองน้ำ, ยังไปเล่นกับเด็กๆ ละแวกบ้าน สิ่งนี้เราอาจจะไม่พบกับคนที่มีชื่อเสียง หรือเงินทองคนอื่นๆ

เกมกีฬา  เรื่อง "แพ้-ชนะ" เป็นเรื่องธรรมดา

เรื่องที่จะชนะแต่ละครั้งนั้นว่ายากแล้ว....เรื่องที่จะชนะไปตลอดนั้นยากยิ่งกว่า

ทีมงานขอให้กำลังใจ นักมวยไทยหรือ ใครก็ตามที่สร้างชื่อเสียง เผยแพร่ ศิลปะ การต่อสู้

ที่ทั่วโลกยอมรับว่าเป็นการต่อสู้ในท่ายืนที่อันตรายที่สุดในโลก ที่เรียกขานว่า มวยไทย MUAYTHAI ตลอดมาและตลอดไป



เรื่อง และข้อมูล จาก "บัญชาเมฆยิมส์" (facebook.com/BanchamekGym)

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook