“นักเตะสำรอง” ความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม!

“นักเตะสำรอง” ความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม!

“นักเตะสำรอง” ความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” เปิดฤดูกาลไปแล้ว 3 นัด ต้องบอกว่ามนต์ขลังและเสน่ห์ของฟุตบอลผู้ดี ยากที่คอบอลชาวไทยจะเปลี่ยนใจไปดูฟุตบอลลีกอื่นอย่าง “ลาลีกา สเปน” หรือ “บุนเดสลีกา เยอรมัน”

เพราะมีเรื่องให้พูดให้เขียนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในสนามหรือนอกสนาม

แน่นอนสิ่งที่ต้องจับตามองคงหนีไม่พ้นว่า ทีมไหนจะเป็นเป็นแชมป์หลังจบฤดูกาล ซึ่งบรรดาทีมใหญ่ทั้งหลายมีทั้งออกสตาร์ได้อย่างยอดเยี่ยม

 “แมนฯซิตี้” (ชนะรวด 3 นัด) พอสอบผ่าน “แมนฯยูไนเต็ด” กับ “ลิเวอร์พูล” (ชนะ 2 นัด เสมอ 1 นัด) ขณะที่สอบตกคือ “เชลซี” กับ “อาร์เซน่อล” (ชนะ แพ้และเสมอ อย่างละ 1 นัด)

โดยบรรดาบิ๊กทีมตลอดการเล่น 3 นัดที่ผ่านมา ในเรื่องของตัวผู้เล่น 11 ตัวจริง ดูจะไม่มีปัญหาซึ่งผู้จัดการทีมแต่ละคนนักเตะตัวจริงของตัวเองเรียบร้อยแล้ว


ถ้าไปดูแผนการเล่นระบบการเล่นและตัวผู้เล่นที่ส่งลงไป ไม่ค่อยมีการ “โรเตชั่น” เท่าไหร่ถือว่าเป็น “เรื่องดี” ที่จะมาเปลี่ยนแปลงทีมทุกนัด  

 แต่อีกปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในปีนี้มากกว่าฤดูกาลที่ผ่านมาคือเรื่อง “ผู้เล่นสำรอง”

เพราะทุกทีมในชั่วโมงนี้ มีขุมกำลังระดับเกรดซุปเปอร์สตาร์อยู่เต็มทีม ซึ่งบรรดานักเตะอะไหล่จะมีความสำคัญต่อทีมใหญ่มาก คือในช่วงกลางฤดูกาลที่ต้องสลับสัปเปลี่ยนหมุนเวียนผู้เล่น ในการเล่นฟุตบอลรายการต่างๆโดยเฉพาะฟุตบอลยุโรปอย่าง “ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก”

ตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้คือ ขุนพลปืนใหญ่ของ “อาร์แวน เวงเกอร์” ที่ “ล้มเหลว” กับฟุตบอล “แชมเปี้ยนลีก” และ “บอลลีก” ในรอบหลายปีที่ผ่านมามักจะ “ปิ๋ว” รายการสำคัญในช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม

เพราะปัญหาผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บ สภาพร่างกายไม่ฟิตจนต้องใช้ตัวสำรองที่เกรดบอลต้องยอมรับว่าสู้นักเตะทีมใหญ่อื่นๆไม่ได้

จนช่วงหลัง “เวงเกอร์” เองต้องเปลี่ยนตัวเองกลืนน้ำลายใช้เงินมหาศาลซื้อนักเตะระดับสตาร์เข้ามาสู่ทีม ไม่ใช่เอาแต่ปั้นเหมือนเมื่อยุค 10 ปีที่แล้ว



อีกทีมที่ช่วงหลังผลงานมักมา “พัง” ช่วงท้ายฤดูกาลคือ “ลิเวอร์พูล” ซึ่งถ้าบรรดาเดอะค็อปไม่โกหกตัวเอง ต้องยอมรับว่านักเตะสำรองของ “เบรแดน ร็อดเจอร์”

ที่ส่วนใหญ่มักจะใช้เด็ก “กระดูกคนละเบอร์” กับนักเตะทีมอื่นโดยเฉพาเรื่องของความเก๋า ประสบการณ์ในการเอาตัวรอดนัดสำคัญๆ  

หรือฤดูกาลนี้ทีมที่กำลังเจอปัญหาในเรื่องนี้คือ “เชลซี” ของ “โจเซ่ มูรินโญ่” โดยเฉพาะแนวรับที่ “จอห์น เทอร์รี่” กับ “บราสลาฟ อิวาโนวิช” ซึ่งเป็นตัวหลักมาตลอดดันฟอร์มตกพร้อมกัน

ส่วนนักเตะที่เหลืออยู่ในตำแหน่งนี้มี “เซซ่าร์ อัปปิริกวยต้า” “แกรี่ เคอิลล์” กับ “เคิร์ก ซูม่า” สองรายแรกอาจจะพอฝากความหวังได้ในลีก รายหลังต้องรอพิสูจน์ตัวเอง

อย่างไรก็ตามตอนนี้สิงห์บลูมีกองหลังอาชีพในทีมแค่ 6 คน (อีกคนคือ “บาบา รามาน” นักเตะดาวรุ่ง)


ดูแล้วถ้าไม่ได้ “จอห์น สโตน” หรือกองหลังเก่งเข้ามาอีกสักคน ท่าจะลำบาก ไม่น่าเชื่อว่าจาก “รสบัสขวางประตู” ปีที่แล้ว

ตอนนี้เป็นทีมที่เสียประตูมากเป้นอันดับ 2 ของลีก 7 ประตู รองจาก “ซันเดอร์แลนด์” ที่เสียไปถึง 8 ประตูทีมเดียว

ขณะที่ “แมนฯยูไนเต็ด” ปีนี้ “หลุยส์ ฟาน ฮัลล์” ทำการบ้านมาดีเลยทีเดียวกับการนำเข้า “เมมฟิส เดปาย” “บาสเตียน ชไวสไตรเกอร์” “มอร์แกน ชไนเดอลิน” และ “มัตเตโอ ดาร์เมี่ยน”

ถึงแม้นักเตะบางคนบางครั้งอาจจะจะถูกจับเป็นตัวสำรอง แต่ก็เกรดบอลไม่เป็นรองคนอื่นในทีม ถ้าให้ดีนำเข้าตัวรุกระดับเกรดอีกสักตัว โอกาสถึงขึ้นคว้า“แชมป์” เป็นไปได้สูง

สุดท้ายเหลือเวลาไม่กี่วัน ตลาดการซื้อขายนักเตะในยุโรปก็จะปิดแล้วต้องรอจนถึงปีหน้า ซึ่งนี่คือโอกาสสุดท้ายของ “ผู้จัดการทีม” จะซื้อใครมาเพิ่มก็รีบซื้อ ยิ่ง “ลีกเปิดก่อน” ที่อื่นเห็นปัญหาในทีมก่อน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook