สกู๊ป : "ทฤษฎีสมคบคิด"

สกู๊ป : "ทฤษฎีสมคบคิด"

สกู๊ป : "ทฤษฎีสมคบคิด"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผมเองน่าจะเป็นหนึ่งในคนที่รู้สึกตกใจไม่น้อยกับการออกมากล่าวหลังจบเกมที่แอนฟิลด์ของเบร็นแดน ร็อดเจอร์ส ในเรื่อง “ทฤษฎีสมคบคิด”

ว่ามีกลุ่มคนภายนอกสโมสรบางกลุ่มที่ไม่ต้องการเห็นเขาทำงานกับลิเวอร์พูลอีกต่อไป

คำกล่าวดังกล่าวตรงกับข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้จากความเห็นของ จอห์น มอตสัน ผู้บรรยายกีฬาชื่อดังระดับตำนานของวงการฟุตบอลอังกฤษ

ที่เชื่อว่ากุนซือคนหนุ่มกำลังตกเป็น “เป้า” ของกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่วางแผนรวมหัวกันเพื่อทำให้ร็อดเจอร์สพ้นจากตำแหน่งให้ได้

การออกมา “รับ” กับเรื่องนี้ของกุนซือที่เผชิญแรงกดดันสูงสุดในพรีเมียร์ลีกเวลานี้น่าจะเป็นประเด็นที่น่าคิดตามมากที่สุดเรื่องหนึ่ง


“ใคร” คือคนที่ร็อดเจอร์สกล่าวพาดพิงถึง

สื่อ? แฟนบอล? บอร์ดบริหาร? บ่อนรับพนันถูกกฏหมาย? หรือผู้ที่คาดหวังจะเข้ามารับตำแหน่งคนใหม่?

อย่างไรก็ดีสิ่งที่น่าเจ็บปวดคือ แม้จะออกมากล่าวเช่นนี้ในวันที่สามารถนำทีมกลับมาชนะได้ เขายังคงเป็น “ผู้แพ้” ในหัวใจของเหล่าค็อปชนอยู่ดี

#RodgersOut ยังดังลั่นในโลกโซเชียลมีเดีย ขณะที่คนจำนวนมากผิดหวังที่ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายเอาชนะได้เพียงเพราะต้องการให้เขาไปให้พ้นจากทีมที่พวกเขารักเสีย

บางทีศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดที่นักคิดชาว Ulsterman ต้องเผชิญ อาจไม่ใช่ “คนนอก” ดอกครับ

หากแต่เป็น “คนใน” อย่างเดอะ ค็อป มากกว่าที่ไม่ต้องการเห็นเขาอยู่ในตำแหน่งอีกต่อไปมากกว่า

เช่นนั้นนับว่าเป็นศึกที่หนักหนาสาหัสอย่างยิ่งสำหรับร็อดเจอร์สครับ


กระนั้นหากมองย้อนกลับมายังชัยชนะเหนือแอสตัน วิลล่า ในเกมที่สนุกตื่นเต้น 3-2 ต้องยอมรับว่า “หงส์แดง” กลับมาเล่นได้ดีขึ้นในหลายจุด

การเล่นเพรสซิ่งสูงที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของทีมกลับมาให้เห็นอีกครั้ง การประสานงานและความสัมพันธ์ในทีมเริ่มกลับมา

และเหนืออื่นใดคือพวกเขากลับมาเล่นในแบบคนที่พกหัวใจลงสนามอีกครั้ง ซึ่งสิ่งนี้สำคัญที่สุด

ไม่ว่าจะเพื่อร็อดเจอร์ส เพื่อตัวเอง หรือเพื่อใคร แต่หากต้องการจะชนะใจแฟนๆที่เสียเงินเข้ามาชมเกมในสนามพวกเขาจำเป็นที่จะต้องพกใจลงมาเล่นด้วย

อยากได้ใจก็ต้องเอาใจมาแลกกันมิใช่หรือ?

อย่างไรก็ดีต้องยอมรับว่าการได้ประตูขึ้นนำเร็วตั้งแต่ 1 นาทีกับอีก 6 วินาทีจาก เจมส์ มิลเนอร์ มีส่วนช่วย “ปลุก” ทีมที่อยู่ในภวังค์ขึ้นมาอีกครั้ง


ตลอดระยะเวลาร่วมเดือนที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล เล่นเหมือนคนอยู่ในโลกแห่งความฝัน ล่องลอย เคว้งคว้าง หัวใจไม่อยู่กับตัว และนั่นทำให้ไม่ว่าจะลงสนามพบกับทีมใดก็พร้อมที่จะตกอยู่ในสถานะของผู้แพ้ได้เสมอ

เมื่อเริ่มต้นได้ดี ผนวกกับการที่แอสตัน วิลล่า ทีมชุดนี้สภาพความแข็งแกร่งนั้นแตกต่างจากทีมชุดที่ “ดับฝัน” ในการจะพาเจอร์ราร์ด ไปเวมบลีย์เมื่อฤดูกาลที่แล้วมาก ซึ่งส่วนสำคัญคือการที่พวกเขาสูญเสีย คริสเตียน เบนเตเก้ หัวหอกจอมพลังมาให้กับลิเวอร์พูล

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าบ้านในชุดแดงเพลิงเล่นได้อย่างไม่ลำบากมากนัก ไม่ว่าจะในเกมรุกที่มีพื้นที่และเวลาค่อนข้างมาก เช่นกันกับเกมรับที่ไม่ถูกทดสอบมากนักในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของทั้งเกม เนื่องจากวิลล่าขาด “ความเร็ว” ซึ่งเป็นจุดเปราะบางใต้ปลายคางที่ลิเวอร์พูล พร้อมถูกน็อคเสมอ

กระนั้นแนวรับ 3 ประสานอย่าง เอ็มเร่ ชาน, มาร์ติน สเคอร์เทล และแม้แต่คนที่แฟนบอลฝากความหวังเอาไว้มากที่สุดอย่าง มามาดู ซาโก้ ยังปล่อยให้กองหน้าระดับแชมเปี้ยนชิพอย่าง รูดี้ เกสเตด ทำได้ถึง 2 ประตู

และเกือบนำวิลล่ากลับมาสู่เกมได้ทั้งๆที่ลิเวอร์พูล ควรจะเป็นฝ่ายเก็บชัยชนะได้ไม่ยากในช่วงสกอร์ 2-0 และ 3-1


สัญญาณในเชิงบวกที่เดอะ ค็อป ได้เห็นคือการกลับมาของ ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ที่น่าจะทำแฮตทริกได้ในเกมนี้ด้วยซ้ำ โดย 2 ประตูที่สวยงามทั้งคู่สะท้อนให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล “คิดถึง” ประสิทธิภาพและความอันตรายในเกมรุกของดาวยิงจอมเซิ้งมากแค่ไหนตลอดช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา

ผมลองจินตนาการว่าหากไม่มีสเตอร์ริดจ์ในสนาม ลิเวอร์พูล จะสามารถใส่สกอร์ในเกมนี้ได้หรือไม่? ก็พบกับคำตอบในความคิดของตัวเองว่า “ยาก”

แม้จะมีแดนนี่ อิงส์ ซึ่งเป็นกองหน้าที่ดี มีความเร็ว ความขยัน และมีความสามารถในการทำประตู แต่ “คุณภาพ” ในเรื่องของสัญชาติญาณในการทำประตู รวมถึงอิทธิพลที่มีต่อเพื่อนร่วมทีมต้องยอมรับว่าอยู่คนละชั้นกับสเตอร์ริดจ์

อิงส์ ในบท “พระรอง” เช่นนี้ถือว่าเหมาะสมกับตัวเองแล้ว เพราะความเร็วและความขยันของเขาทำให้ลิเวอร์พูลสามารถเล่นเกมเพรสซิ่งสูงได้ และมีส่วนทำให้ทีมเก็บชัยชนะได้ในเกมนี้ครับ

อย่างไรก็ดีในภาพรวม ผมคิดว่าร็อดเจอร์สเองยังมีสิ่งที่ต้องกลับมา “ทบทวน” อีกมาก


3 นัดที่ผ่านมาในเกมกับนอริช, คาร์ไลส์ และวิลล่า กับระบบ 3-4-1-2 (3-4-2-1) ลิเวอร์พูล ส่งสัญญาณดีขึ้นในเรื่องของการสร้างสรรค์โอกาส โดยมีโอกาสทำประตูมากถึง 23-47 และ 21 ครั้ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ

ทำอย่างไรจะแปรเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตูได้มากขึ้น และทำอย่างไรจะทำให้เกมรับของตัวเองดีและมั่นคงกว่าที่เป็นอยู่?

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาและเหล่าสตาฟฟ์จำเป็นต้อง “รวมหัว” กันเพื่อหาวิธีแก้ไขให้ได้โดยเร็วที่สุด

เวลาเหลือไม่มากแล้วสำหรับ "ร็อดเจอร์ส"!!



นิทานลูกหนัง
by ลูกแม่กิ่ง (lookmaeking@hotmail.com)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook