สกู๊ป : เครื่องหมายคำถามของ มูรินโญ่และเชลซี ??!

สกู๊ป : เครื่องหมายคำถามของ มูรินโญ่และเชลซี ??!

สกู๊ป : เครื่องหมายคำถามของ มูรินโญ่และเชลซี ??!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฤดูกาลที่แล้ว โจเซ่ มูรินโญ่ นำเชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้งในการคุมทีมเป็นสมัยที่สอง และนับเป็นแชมป์ที่ 3 ของเขากับสิงโตน้ำเงินคราม ภายในระยะเวลาการคุมทีมรวมกัน 6 ซีซั่นเศษ

เศษของซีซั่นที่ว่าคือช่วงต้นฤดูกาล 2007/08 ซึ่งเขาลาออกหลังคุมทีมผ่านไปแค่ 6 นัดแรก โดยมีสถิติชนะ 3 เสมอ 2 แพ้ 1 และอยู่ในอันดับ 5 ของตาราง

แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้กุนซือผู้ให้ฉายากับตัวเองว่า The Special One โชว์สปิริตแสดงความรับผิดชอบต่อผลงานที่ต่ำกว่าความคาดหวัง

เหตุผลหนึ่งที่มูรินโญ่หรือเชลซีตั้งความหวังไว้สูง คงเป็นเพราะความสำเร็จในสองฤดูกาลแรกของเขาที่สแตมฟอร์ด บริดจ์

นอกจากจะเข้ามาพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ทันทีตั้งแต่ปีแรกในฤดูกาล 2004/05 ในฐานะกุนซือหนุ่มวัย 41 ปี มูรินโญ่ยังสร้างสถิติต่างๆไว้มากมายในช่วงสองปีที่เขาพาทีมซิวแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัยติด

ในฤดูกาลแรกที่เขาพาเชลซีคว้าแชป์ลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี หลังเคยครองแชมป์แค่ครั้งเดียวในฤดูกาล 1954/55 สิงโตน้ำเงินครามเข้าป้ายด้วยสถิติทำคะแนนสูงสุดที่ 95 แต้ม และเสียประตูน้อยที่สุดแค่ 15 ลูก ยังไม่รวมสถิติยิบย่อยอื่นๆ

ขณะที่ฤดูกาล 2005/06 เชลซีก็ยังทำสถิติชนะมากที่สุดในฤดูกาลได้เช่นเดียวกับฤดูกาลก่อนหน้าที่ 29 นัด ซึ่งยังไม่มีทีมไหนทำได้และยังทำสถิติชนะในบ้านสูงสุดที่ 18 นัด เป็นทีมแรก และทั้งสองซีซั่นนั้น เชลซีไม่แพ้ในบ้านเลย และสถิติที่ว่าก็ยังคงอยู่จวบจนกระทั่งมูรินโญ่ลาออกไป

และในการคัมแบ็กกลับมาคุมทีมเป็นสมัยที่สองเมื่อฤดูกาล 2013/14 ด้วยประสบการณ์และดีกรีที่เพิ่มข้นอีกโข แม้จะไม่สามารถพาทีมกลับมาเป็นแชมป์ได้ทันที แต่มูรินโญ่ก็ทำสำเร็จในปีถัดมา เมื่อพาเชลซีคว้าแชมป์ได้ในฤดูกาลที่แล้ว แม้จะต้องเสียสถิติไม่แพ้เกมลีกในบ้านไปในเดือนเมษายน 2014 เมื่อถูกซันเดอร์แลนด์บุกมาเฉือนชัย 2-1

แต่ในการป้องกันแชมป์ฤดูกาลนี้ เชลซีแพ้ในบ้านไปแล้วถึง 2 จาก 4 นัด และแพ้รวม 4 จาก 8 นัดแรก ทั้งที่นักเตะตัวหลักหน้าเดิมๆยังอยู่กันครบ แต่สิ่งที่หายไปคือฟอร์มของแต่ละคน ซึ่ง 5 ในนั้นติดโผทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลก่อน

สามคนในนั้นเป็นนักเตะแนวรับอย่าง จอห์น เทอร์รี่, แกรี่ เคฮิลล์ และ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ส่วนอีกหนึ่งคนคือนักเตะยอดเยี่ยมทั้งสองสถาบันของเมืองผู้ดีอย่าง เอด็อง อาซาร์ และคนสุดท้ายคือดาวซัลโวสูงสุดอันดับ 3 อย่าง ดิเอโก้ คอสต้า ที่ซัดไป 20 ประตูในฤดูกาลแรก

แต่ในฤดูกาลนี้คอสต้าเพิ่งยิงไปแค่ประตูเดียวจากการลงเล่น 6 นัด ส่วนอาซาร์ที่ปีที่แล้วได้รับคำสรรเสริญเยินยอซะยกใหญ่ว่า ถ้าเทียบเป็นปอนด์ต่อปอนด์แล้วเป็นรองนักเตะระดับโลกอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ หรือ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ แค่ครึ่งขีด ก็โชว์ฟอร์มได้สุดกริบและยังยิงไม่ได้ซักประตูเมื่อเทียบกับที่ซัดไป 14 ลูกในซีซั่นก่อน

ส่วนแผงหลังก็กลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักในฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะดาวเด่นจากปีก่อนอย่าง อิวาโนวิช และ เทอร์รี่ ที่ปีนี้กลายเป็นจุดอ่อนอย่างชัดเจน

ฤดูกาลที่แล้ว อิวาโนวิช ทำผลงานได้โดดเด่นจน มูรินโญ่ ถึงกับออกปากชมว่าเขาเป็นนักเตะสำคัญอย่างยิ่งของทีม เพราะนอกจากเกมรับจะเด็ดขาดแล้ว ยังขึ้นมาทำประตูสำคัญๆ ช่วยทีมได้หลายครั้ง โดยทำไป 4 ประตู ในลีกและ 6 ประตู ในทุกรายการซึ่งอีกสองลูกในบอลถ้วยนั้นก็เป็นประตูชัยในรอบตัดเชือกลีก คัพ ที่ทำให้เชลซีทะลุเข้าชิงและคว้าแชมป์ได้ รวมถึงประตูทีมเยือนในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้าย ของแชมเปี้ยนส์ ลีก กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง

 

ส่วนเทอร์รี่ก็ทำหน้าที่กัปตันทีมได้อย่างสมบูรณ์แบบ และทำสถิติเป็นนักเตะคนที่ 5 และคนที่ 2 ที่ไม่ใช่ผู้รักษาประตู ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการลงเล่นครบทุกนาที แต่ปีนี้ฟอร์มที่ปั่นป่วนในแนวรับทำให้เขาไม่ได้รับการการันตีตำแหน่งตัวจริงในทีมอีกแล้ว และยังไม่แน่ว่าจะได้รับสัญญาใหม่หรือไม่ด้วย

ยังไม่นับรวมกับอีกสองนักเตะหลักที่ไม่ติดโผทีมยอดเยี่ยมของ PFA แต่ก็เล่นได้อย่างโดดเด่นอยาง เชส ฟาเบรกาส และ เนมานย่า มาติช ที่ฟอร์มหล่นหายไปเช่นกัน

ขณะที่มูรินโญ่เองก็ดูจะสิ้นมนต์ขลัง เมื่อดูจะไม่สามารถสามารถปลุกปลอบหรือกระตุ้นลูกทีมให้กลับมาฮึดได้ในยามที่จำเป็นเหมือนเคย และเริ่มหันไปโทษนั่นโทษนี่แทนต่อความพ่ายแพ้หรือผลงานที่น่าผิดหวังในแต่ละนัด

นั่นทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมามากมายว่าเกิดอะไรขึ้นกับเชลซีในฤดูกาลนี้

กุนซือจอมโอหังอย่าง มูรินโญ่ จะทนแบกหน้าอยู่กับผลงานที่ย่ำแย่ได้นานแค่ไหน แม้ล่าสุดเจ้าตัวจะยืนว่ายังไงก็ไม่ลาออก ถ้าอยากให้ออกต้องไล่ออกเท่านั้น

หรือแม้แต่ประเด็นที่ว่าเขายังได้รับการยอมรับจากนักเตะอยู่หรือไม่ หลังจากออกมาตำหนิลูกทีมออกสื่อเป็นว่าเล่น จนหลายคนสงสัยว่าจะเกิดการแข็งข้อและเล่นไล่โค้ชหรือเปล่า

และที่สำคัญคือเชลซีจะสามารถพาตัวเองขึ้นไปจบในอันดับท็อปโฟร์ได้หรือไม่ เพราะการลุ้นแชมป์อาจจะกลายเป็นเป้าหมายที่เกินตัวไปแล้วในตอนนี้

Babybear

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook