สกู๊ป ฝันเป็นจริงของ "เวลส์"

สกู๊ป ฝันเป็นจริงของ "เวลส์"

สกู๊ป ฝันเป็นจริงของ "เวลส์"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ระหว่างที่ผมปั่นงานเมื่อวานนี้ (วันอาทิตย์) ชาวโลกได้ทราบเพิ่มเติม “อีก 3 ทีม” แล้วว่า เวลส์, อิตาลี และเบลเยียม คือ 3 ประเทศ ล่าสุดผ่านทะลุเข้ารอบสุดท้ายศึก “ยูโร 2016” ซัมเมอร์หน้า

รวมแล้ว เราได้ 12 ชาติ แล้วครับ โดยเรียงตามลำดับก็คือ ฝรั่งเศส (เจ้าภาพ), อังกฤษ, สาธารณรัฐเช็ก, ไอซ์แลนด์, ออสเตรีย, ไอร์แลนด์เหนือ, โปรตุเกส, สเปน, สวิส, อิตาลี, เบลเยียม และ เวลส์

เหลือบตามองแล้วจะเห็นเลยว่า ชาติ อาทิ ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์เหนือ และเวลส์ ที่ต่างผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้เป็น “ครั้งแรก” จะมีวันนี้หรือไม่?

ถ้า “ยูฟ่า” ไม่ปรับนโยบายขยายจำนวนทีมในรอบสุดท้ายเป็น 24 ทีม และเพิ่มกระบวนการรอบคัดเลือกจน “บิ๊กทีม” แทบจะไม่มีทางพลาด เพราะคัดอันดับ 1 และ 2 ของทั้ง 9 กลุ่ม เข้ารอบอัตโนมัติ

แถมยังมี “ทางเบี่ยง” ให้ทีมอันดับ 3 ได้ลุ้นอีก 2 ยก ผ่านอันดับ 3 ที่ดีที่สุด และอีก 4 พื้นที่เพลย์ออฟ


ด้วย “นโยบายนี้” จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นชาติหน้าใหม่ เช่น 3 ทีมข้างต้น หรือทีมรองอย่าง แอลเบเนีย ที่คงไม่มีปัญหาแซงหน้า เดนมาร์ก ควอลิฟายตามหลัง โปรตุเกส เข้าไป

ผลพวงของการเข้ารอบสุดท้าย คงจะ “ประเมิน” ได้ยากมากทางเศรษฐกิจ หรือค่าดัชนีแห่งความสุข

แต่พูดได้เลยว่า “กระแส” ของทุกชาติในรอบ 24 ทีมสุดท้าย น่าจะ “มหาศาล”, ยิ่งใหญ่, ตื่นตาตื่นใจ และหลอมรวมทุกคนในชาติเอาไว้

ไม่ต่างอะไรกับตอน “บอลไทย” ของเราประสบความสำเร็จทำผลงานได้ดีในห้วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั่นแหละครับ

เรื่องนี้มี “ตัวอย่าง” เห็นชัดๆ ในสหราชอาณาจักรเลยว่า ชาติที่เคยๆ อย่าง อังกฤษ ซึ่งกำลังลุ้น “ชนะทุกนัด” 10 เกมไม่ได้มี “อุณหภูมิ” ตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ของขวัญวันเกิด เช่น เวลส์ ที่เพิ่งผ่านเข้ารอบสุดท้าย “ยูโร” ได้เป็นสมัยแรก

ลูกทีมของ คริส โคลแมน ต้องการแค่ 1 แต้มจาก 2 เกมสุดท้ายเพื่อการันตีการเข้ารอบแบบอัตโนมัติ

และแม้จะบุกไปแพ้ บอสเนีย 0-2 ทว่าอิสราเอล ที่มีลุ้นมากสุดกลับพลาดซะเองในบ้านให้ไซปรัส 1-2


ทีมมังกรแดง จึง “ผงาด” สิครับ และสร้างประวัติศาสตร์เข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลเมเจอร์ได้เป็นครั้งที่ 2 ต่อจากบอลโลก 1958 ที่สวีเดน ทันที

“ฟีดแบ็ก” ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ เพราะ “(แทบ) ทุกคน” ในวงการลูกหนังผู้ดี ต่างพรั่งพรูกันออกมาแสดงความยินดีไม่เฉพาะชาวเวลส์ทั้งอดีตนักเตะ, ปัจจุบัน หรือผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น

แต่คนดังชาติอื่น อาทิ เดวิด เบ็คแฮม ก็ตบเท้าออกมาร่วมยินดีกับปรากฏการณ์ในครั้งนี้

ผมเองก็อยากจะบอกว่า ติดตาม และแอบเชียร์ เวลส์ มาหลายยุคสมัย โดยเฉพาะยุค 80-90s ที่น่าจะกล่าวได้ว่า ดีกว่าทีมชุดนี้เสียอีก แต่ “โอกาส” จากฟอร์แมตในรอบคัดเลือกไม่ได้เปิดกว้างแบบนี้

เนวิลล์ เซาธอลล์, เควิน แรตคลิฟฟ์, โจอี้ โจนส์, แบร์รี ฮอร์น, มาร์ค ฮิวจ์ส, เอียน รัช, ไรอัน กิ๊กส์, ดีน ซอนเดอร์ส ก่อนจะมาถึงยุค แกรี่ สปีด, เคร็ก เบลลามี่ ฯลฯ

เฉพาะอย่างยิ่ง ยุค รัช, ฮิวจ์ส, เซาธอลล์, แรตคลิฟฟ์ และกิ๊กส์ ที่ “น่าเสียดาย” อย่างยิ่ง เพราะไม่ได้รับโอกาสเลยในทัวร์นาเมนต์เมเจอร์นานาชาติ

จนมีการพูดกันบ่อยๆ ว่า นักเตะเหล่านี้ “โชคร้าย” หรือน่าเสียดายที่ไม่ได้เกิด และเล่นให้อังกฤษ

หรือยามถูกเปรียบเทียบความสำเร็จก็ทำได้ไม่เต็มปาก เพราะไม่มีผลงานระดับชาติมาประกอบการพิจารณา



ก่อน “เรื่องราว” จะค่อยๆ เฟดหายไปตามอายุขัยของทีมเจนเนอเรชั่นนั้นๆ และกลายเป็น “สตอรี่” เล่าขานว่า ครั้งหนึ่ง ตอนนั้น เวลส์ เกือบจะได้ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลรายการเมเจอร์

เช่น คัดบอลโลก 1982 ก็ชวดหวุดหวิดถึงแมตช์สุดท้ายที่บุกเสมอสกอตแลนด์ 1-1 และกุนซือวิสกี้ จ็อค สตีน หัวใจวายคาสนามเสียชีวิต

บอลโลก 1994 ยุคเทอร์รี่ โยรัธ และต้องการแค่ชนะในบ้านกับโรมาเนีย แต่ พอล โบดิน พลาดจุดโทษขณะสกอร์ 1-1 ก่อนที่โรมาเนียจะทำประตูชัยชนะไป 2-1

แพ้เพลย์ออฟให้รัสเซีย ตอนคัด “ยูโร 2004” ยุค มาร์ค ฮิวจ์ส เป็นกุนซือ

รวมความแล้ว นับแค่ที่ช่วงชีวิตผม “เกิดทัน” และจำความได้ เวลส์ “เฉียด” ไปเฉียดมาหลายหน และผมมั่นใจว่า สตอรี่คงจะเป็นเช่นนั้นต่อไปอีกนานเท่านาน

เพราะ “โควตา” รอบสุดท้ายมันไม่เพียงพอ และเวลส์ยังไงก็ดีไม่พอ “สอดแทรก” กระทั่งทัวร์นาเมนต์ยูโร “ถูกถ่าง” ออกเป็น 24 จาก 16 ทีม

ครับ มันจึง “ไม่แปลก” ที่นักเตะ/กุนซือเวลส์ในอดีต ถึงปัจจุบัน และประชาชนคนเวลส์จะ “ตื่นเต้น” มากกับประสบการณ์นี้

และ “ยินดี” จนเสียงแห่งความดีใจส่งพลังไปทั่วสหราชอาณาจักร และทั่วโลกมาถึง “เมืองไทย” และถึงผมเองแบบนี้

ทั้งนี้ก็เพราะ พวกเค้าได้ผ่านประสบการณ์ “ฝันสลาย” มาชาชินจนไม่คิดว่าวันนี้ “ฝันจะเป็นจริง” ครับ

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook