การเปิดใจ "บังยี" วรวีร์ มะกูดี ครั้งแรก หลังโดน ฟีฟ่า สั่งแบน

การเปิดใจ "บังยี" วรวีร์ มะกูดี ครั้งแรก หลังโดน ฟีฟ่า สั่งแบน

การเปิดใจ "บังยี" วรวีร์ มะกูดี ครั้งแรก หลังโดน ฟีฟ่า สั่งแบน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"บังยี" เปิดใจครั้งแรกแจงเหตุโดนฟีฟ่าแบน 90 วัน เผยไม่ใช่ผลพวงโหวตเจ้าภาพบอลโลก วอน กกท.ตั้งโต๊ะเปิดอกคุยกัน แบบมีเหตุมีผล ลั่นลงชิงเก้าอี้สมัย 5 แน่ เชื่อปัญหาจะคลี่คลายในทางที่ดี

"บังยี" นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับหนังสือพิมพ์ "มติชน" ที่ศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ หนองจอก เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ว่า กรณีที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) มีคำสั่งให้ตัวเองห้ามยุ่งเกี่ยวกับฟุตบอลทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นเวลา 90 วันนั้น

อยากจะชี้แจงว่ามาจากการที่เมื่อ 2 ปีก่อน สมาคมฟุตบอลฯ ได้แก้ไขข้อบังคับ ซึ่งที่ประชุมใหญ่มีความเห็นชอบแล้วก่อนนำไปจดทะเบียนกับกรมการปกครอง

และกรมการปกครองได้เรียกสมาคมฟุตบอลฯให้แก้ไขบางส่วนให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายไทย ก่อนจดทะเบียนในวันที่ 14 ตุลาคม 2558

จากนั้นมีผู้ไปฟ้องร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ และศาลตัดสินให้ตนเองและ ดร.องอาจ ก่อสินค้า ที่เป็นเลขาธิการสมาคมฟุตบอลฯในขณะนั้น มีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร

นายวรวีร์กล่าวต่อว่า จากนั้นได้มีการลงข่าวและมีผู้ส่งในเรื่องที่ศาลตัดสินนี้ไปยังฟีฟ่า จนทำให้ฟีฟ่าได้มีคำสั่งดังกล่าว เพื่อตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ ซึ่งตนได้ทำเรื่องอุทธรณ์ไปที่ศาลแล้ว ตอนนี้ถือว่าคดีนี้ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด เพราะเป็นเพียงศาลชั้นต้น ยังมีศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาต่อไป ทำให้ตนยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ยังไม่มีความผิดแต่อย่างใด

โดยได้ส่งข้อมูลทั้งหมดนี้ชี้แจงไปยังฟีฟ่าแล้ว และกำลังรอคำตอบจากฟีฟ่าอยู่ คิดว่าฟีฟ่าน่าจะเข้าใจ ทั้งนี้ ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรณีที่ตัวเองเคยเป็นบอร์ดฟีฟ่าแล้วโหวตเลือกเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2018 และฟุตบอลโลก 2022 แต่อย่างใด

นายวรวีร์กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ฟีฟ่ามีคำสั่งถอดสภากรรมการสมาคมฟุตบอลฯ และตั้งคณะกรรมการกลางขึ้นมาดูแลการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลฯนั้น สภากรรมการสมาคมฟุตบอลฯทุกท่านมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ไม่ได้ทำผิดอะไร ซึ่งไม่ใช่การโละหรือการปลดแต่อย่างใด เพียงแต่หมดวาระไปเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา

ขณะที่คณะกรรมการกลางนั้นก็มาจากการที่สมาคมฟุตบอลฯ, การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลฯ ได้เสนอชื่อไป

ซึ่งฟีฟ่าได้ตั้งเข้ามาเพื่อไม่ให้เป็นสูญญากาศ แต่ก็ไม่มีการแทรกแซงการทำหน้าที่ของสมาคมฟุตบอลฯ ที่ทางสำนักงานเลขาธิการยังต้องดำเนินงานทั้งหมดต่อไป ทั้งฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก, ลีกวัน, ดิวิชั่น 2, การส่งทีมชาติไทยไปแข่งขันรายการนานาชาติต่างๆ และด้านอื่น

คณะกรรมการกลางที่ฟีฟ่าตั้งมานั้นมีอำนาจหน้าที่ตามขอบเขต แต่ไม่สามารถเข้ามาบริหารงานประจำของสมาคมฟุตบอลฯได้ ซึ่งตรงนี้ฟีฟ่าได้ระบุแบ่งแยกชัดเจน

ส่วนกรณีที่ พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก ผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลฯ ได้ร้องเรียนไปยังฟีฟ่าในเรื่องที่ส่งหนังสือเชิญสโมสรสมาชิกเข้าร่วมประชุมแก้ไขข้อบังคับเมื่อวันที่ 17 กันยายน ไม่ถึง 30 วันนั้น ยืนยันว่าเราส่งครบตามกำหนด

 แต่ปลายทางจะถึงผู้รับเมื่อใดเป็นอีกเรื่อง ซึ่งตรงนี้ฟีฟ่าได้เห็นหนังสือเชิญ และบอกว่าส่งถูกต้องแล้ว ฟีฟ่าได้รับรองข้อบังคับที่มีการแก้ไขเมื่อวันที่ 17 กันยายนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราได้ส่งเอกสารการรับรองของฟีฟ่าไปให้ทาง กกท.และคณะกรรมการกลางแล้วด้วย" บังยีกล่าว

นายกสมาคมฟุตบอลฯ 4 สมัยซ้อน กล่าวต่อไปว่า อีกเรื่องคือการร้องเรียนกรณีที่มา 30 สโมสรโหวตจากดิวิชั่น 2 นั้น ตามบทเฉพาะกาลของข้อบังคับสมาคมฟุตบอลฯ พ.ศ.2556 ได้ระบุว่า ในปีแรกจะคัดจากอันดับ 1-5 ของแต่ละโซน ทั้ง 6 โซน แต่ก็ได้ระบุต่อว่า

จากนั้นในดิวิชั่น 2 แต่ละโซนจะต้องไปคัดเลือกตัวแทนกันมา ซึ่งสมาคมฟุตบอลฯได้ดำเนินงานทุกอย่างถูกต้องทั้งหมด และตัวแทนจากดิวิชั่น 2 ที่มาเข้าร่วมประชุมนั้นต่างเป็นประธานสโมสรเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว จึงยืนยันว่า 30 เสียงจากดิวิชั่นที่คัดเลือกนั้นมาตามกระบวนการที่ถูกต้องแล้ว

ผมอยากจะเสนอแนวทางคือให้กกท.เชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือกันต่อหน้าต่อหน้า คุยกันตามเหตุตามผล เพื่อที่จะได้ไม่ใส่ร้ายกันลับหลัง ซึ่งจะได้พูดกันตามที่มีการหาว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไรก็จะได้พูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผลให้ชัดเจน

ใครทำผิดตรงไหนก็เอามาพูดคุยกันต่อหน้าเพื่อหาข้อสรุป หาข้อยุติ หาแนวทางแก้ไขร่วมกัน สังคมกีฬาก็พูดคุยกันแบบนี้ ไม่ใช่ไปใส่ร้ายกัน มันไม่ได้ มันไม่ใช่สปิริต ใครที่อยากจะลงแข่งขันกับผม ผมก็พร้อมเปิดโอกาสให้" นายวรวีร์กล่าว

ประมุขสมาคมฟุตบอลไทยกล่าวในตอนท้ายว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้นับเป็นมรสุมครั้งหนึ่งของตัวเอง ซึ่งก็ไม่ได้หนักใจ แต่ก็มีท้อบ้างเล็กน้อย แต่สิ่งที่ตัวเองได้ทำมาคือการพัฒนาฟุตบอลลีกให้มีมูลค่าสิทธิประโยชน์สูงมาก

รวมถึงทีมชาติไทยพัฒนาก้าวไปประสบความสำเร็จ กวาดแชมป์อาเซียนได้ทุกชุด และผ่านเข้าไปสู่รอบสุดท้ายของเอเชียได้ รวมถึงทีมชุดใหญ่มีโอกาสใกล้เคียงที่ผ่านเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายของเอเชียในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกแล้ว

ครั้งนี้เป็นการสะดุดครั้งหนึ่งของวงการฟุตบอลไทย และตัวเองไม่อยากให้กระบวนการพังไปทั้งระบบ เพราะจะมีผลกระทบ มีความเสียหายมหาศาลมาก แต่ถึงจุดนี้ยังเชื่อว่าไม่ถึงขั้นที่ฟีฟ่าจะแบนทีมชาติไทยไม่ให้เข้าร่วมการแข่งขันนานาชาติเหมือนคูเวต และอินโดนีเซียที่มีการเมืองเข้ามาแทรกแซงอย่างหนัก เนื่องจากทาง กกท.รับฟังแนวทางของฟีฟ่าอยู่ตลอด

ถึงตอนนี้วงการฟุตบอลไทยเดินหน้ามาถูกทางแล้ว ทั้งฟุตบอลลีกและทีมชาติต่างก็พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผมก็ได้สร้างการพัฒนาให้เป็นที่ประจักษ์ หลังจากนี้หากขั้นตอนทุกอย่างดำเนินการไป

 ผมก็พร้อมลงสมัครนายกสมาคมฟุตบอลฯต่อไป และก็พร้อมรับใช้สโมสรสมาชิกทั้งหมดต่อไป

เพราะถือว่าเป็นการทำเพื่อส่วนรวม เพื่อการก้าวหน้าของวงการฟุตบอลไทย ผมอยากให้คนกลางอย่าง กกท.เรียกทุกฝ่ายมาคุยกันเพื่อหาข้อยุติ ใครมีเหตุมีผล มีข้อมูลอะไรก็นำมาพูดคุยกัน ซึ่งคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงได้ด้วยดี และคงจะหนีกรอบของข้อบังคับต่างๆ และหนีกรอบของกฎหมายไทยไปไม่ได้

สุดท้ายก็คงต้องจบลงด้วยเหตุด้วยผล ตัวผมเองก็พร้อมคุยได้หมดเพื่อให้วงการฟุตบอลไทยประสบความสำเร็จสูงสุดต่อไป" นายใหญ่ลูกหนังไทยกล่าวทิ้งท้าย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook