สกู๊ป "พลังแห่งความเชื่อ"!!

สกู๊ป "พลังแห่งความเชื่อ"!!

สกู๊ป "พลังแห่งความเชื่อ"!!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผมเชื่อว่า ถึง “เวลานี้” น่าจะมีบทวิเคราะห์มากมายพูดถึงการเข้ามาเปลี่ยนทีมลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในเวลาอันรวดเร็ว

และเชื่อแน่ครับว่า ประเด็นดังกล่าวจะต้อง “ร้อนขึ้นๆ” เรื่อยๆ หากลิเวอร์พูลยังคงเป็น “หงส์เก่ง” เหมือนพาดหัวบนหน้าปก “ฮอตสกอร์” ฉบับเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ซึ่ง “เชื่อไหมครับ?” หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวของเรา “ขายดี” มากที่สุดวันหนึ่งอย่างชนิดไม่ต้องเช็กกับ “เอเยนต์” ตัวแทนสายส่ง หรือร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น เลย

เพราะแมนฯยูไนเต็ด กับลิเวอร์พูล อันเป็น 2 ทีม ที่มีแฟนบอลมากที่สุดในประเทศไทย รวมกันเกิน 80% ชนะพร้อมๆ กัน

“ความสุข” เกิดขึ้นแน่นอนทั่วทุกหัวระแหงของชุมชนฟุตบอล เฉพาะอย่างยิ่งสังคม “เดอะ ค็อป” ที่กล่าวได้เลยว่า นี่คือ เกมที่ดีที่สุดของทีมนัดหนึ่งในรอบหลายปี


การบุกชนะแมนฯซิตี้ ถึงเอติฮัด สเตเดี้ยม 4-1 มองมุมไหน เหลี่ยมใด ก็ “ไม่ฟลุก” เฉพาะอย่างยิ่งหากใครได้ชมเกมย่อมต้องยอมรับว่า หงส์แดง สามารถยิงได้มากกว่านี้ หาก โจ ฮาร์ท ไม่ซูเปอร์เซฟเอาไว้ 2-3 หน

รับรอง ไฟนอลสกอร์ สามารถขยับเป็น 7-1 ได้สบายเหนือ “แชมป์เก่า” ที่มานูเอล เปเญกรินี่ ยอมรับว่า นี่คือ “หายนะ” อย่างสมบูรณ์ของทีม

และไม่ใช่แค่แผงหลังอย่าง มาร์ติน เดมิเชลิส และ เอเลียคิม มองกาล่า เท่านั้น แต่เป็นทั้ง 11 คน ในสนาม และ 3 ตัวสำรอง ที่ต้องรับผิดชอบในความพ่ายแพ้ของทีม

ทั้งนี้ แม้จะมีบทวิเคราะห์ในเรื่องที่ กัปตันทีม แว็งซ็องต์ กอมปานี ไม่สมบูรณ์ หรือแผงมิดฟิลด์ที่ไม่ “แน่น” หรือ compact เพียงพอในครึ่งแรก

จนเป็นที่มาการเปลี่ยนตัวให้ ฟาเบียน เดลฟ์ ลงสนามในพรีเมียร์ลีกเกมแรกคู่กับ เฟอร์นานดินโญ่ แทนที่ ยาย่า ตูเร่ และ เฆซุส นาบาส

ซึ่ง ซิตี้ เล่นได้ “เหนียวแน่น” ขึ้นจริง แต่เกมรุกก็ยังไม่ดีพอเจาะเกมรับลิเวอร์พูลที่ชั่วโมงนี้มีการวิจารณ์เหมือนๆ กับตำแหน่งอื่นๆ ทั้งทีมว่า ดีขึ้น

มาร์ติน สเคอร์เทล ที่ยิงประตู 4-1 กลายเป็นติดทำเนียบกองหลังที่ดีที่สุดซะงั้น หรือแม้แต่ เดยัน ลอฟเรน ก็ทำท่าจะคว้าโอกาสจากการบาดเจ็บของ มามาดู ซาโก้ ได้เป็นอย่างดี

นั่นคือแค่ “ตัวอย่าง” นะครับ เพราะหากไล่รายชื่อ “ทุกคน” ดีขึ้นหมดทั้งตัวจริง และสำรองภายใต้การบริหารแบบภาษาอังกฤษที่เรียกว่า Hand on หรือถึงลูก ถึงคน ถึงเนื้อต้องตัวของกุนซือเยอรมันวัย 48 ปี


การ “hand on” ของคล็อปป์ หมายความว่า เค้าเข้าใจนักเตะ และเข้าถึงผู้เล่น ขณะที่ผู้เล่นก็สามารถเข้าถึงตัวเค้าได้แบบแตะต้องได้

การยืนข้างสนามกำกับการ ตะโกน บอก/ปรับแผนการเล่น หรือแก้ไขข้อบกพร่องทีม หรือการสวมกอด “ยาวนาน” (เกินไปไหม?) แบบจริงใจกับลูกทีม

ผมว่า คือ “มิติ” ที่เป็นมิตร และเป็นโพสิทีฟต่อทีม และผู้เกี่ยวข้องสโมสรทั้งหมด

ขณะที่การสัมภาษณ์ ผมได้เคยแตะไปแล้วว่า ภาษาอังกฤษ เจอร์เก้น คล็อปป์ ดีมากทั้งสำเนียง และการใช้หลักไวยากรณ์

แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ เค้าพูด “จากใจ” โดยไม่ได้ใช้ภาษาฟุตบอลพิสดาร หรือพยายามพูดเรื่องง่ายให้เป็นยาก หรือพยายาม “ทำหล่อ” สร้างโลกสวย?

รีแอ็กชั่นยังรวดเร็วต่อคำถาม เช่น นักข่าวถามว่า ลิเวอร์พูลจะเป็นทีมลุ้นแชมป์ได้ไหม?

“Are you crazy?” คล็อปป์ ถามนักข่าวกลับทันทีว่า บ้าไปหรือเปล่า?

หากทีมที่เล่นเกมรับแบบนี้ แบบที่คล็อปป์บอกว่า สามารถทำได้ดีกว่านี้หลังนำ 3-0 จะมีสิทธิลุ้นแชมป์ได้


ในแง่ “ฟุตบอล” ลิเวอร์พูล เล่นได้ธรรมชาติขึ้น และเล่นตาม “จุดเด่น” ตัวเอง ขณะที่ทำลาย “จุดอ่อน” คู่แข่งโดยตอนนี้การประสานงานของ โรแบร์โต้ เฟียร์มิโน่ และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ 2 คู่หูบราซิล คือ “สุดยอด”

ผมมองว่า ไม่ต่างจากดู หลุยส์ ซัวเรซ คู่ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ในซีซั่น 2013/14 เฉพาะอย่างยิ่งชนะนัดนี้ทำให้นึกถึงนัดที่เปิดบ้านยิงสลุตอาร์เซนอล 5-1

หรือไม่ต่างจาก ซัวเรซ จับคู่ เนย์มาร์ ในบาร์เซโลน่า ตอนนี้ที่ ลิโอเนล เมสซี่ เพิ่งจะหายเจ็บ 2 เดือน กลับมา แต่ช่วงที่หายไปไม่มีใครนึกถึงเมสซี่

เพราะมัวแต่พูดถึง ซัวเรซ กับเนย์มาร์!

เกมถล่มเรอัล มาดริด 4-0 ถึงซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ยังมีความ “คล้ายคลึง” หลายประการกับที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ที่เตะเวลาไล่เลี่ยกัน

ที่นั่น ซัวเรซ ส่งให้เนย์มาร์, เนย์มาร์ เปิดให้ซัวเรซๆ ๆ ๆ ๆ สลับยิงโดยกองหลังระดับโลกของมาดริด ไล่ไม่ทัน

ที่นี่ ก็ไม่ต่างกันที่ คูตี้ และเฟียร์โน่ สลับกันชิ่ง แบ่งกันเปิดบอลอย่างเพลิดเพลินจนไม่แปลกใจที่ คริสติย็อง เบนเทเก้ จะเป็นแค่ตัวสำรองตอนนี้ หรือ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ที่หายเจ็บแล้ว ไม่จำเป็น “ต้องเสี่ยง” ส่งลงทั้งที่เป็นเกมใหญ่แบบนี้

ครับ ลิเวอร์พูลกำลังกลับมามีชีวิตชีวา และคล็อปป์กำลังเริ่มต้นสร้างประวัติศาสตร์ และทยอย “ทำลายสถิติ” ไม่สวยต่างๆ ในยุค เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เช่น กว่าจะชนะทีม “ท็อปโฟร์”

ทว่า คล็อปป์ ทำได้ตั้งแต่ 2 เกมแรก แถมเป็นเกมเยือน!

นักเตะที่เคย “ไม่เกิด” กำลังเด่นขึ้น และฉายแววในยุคคล็อปป์ และทีมทั้งทีมกำลังถูก “ยกระดับ” ความสามารถขึ้นมา

จนแอบนึกไปไม่ได้ว่า ลิเวอร์พูลจะไปได้ไกลขนาดไหน ณ เวลาที่ “พลังความเชื่อ” มาแรงเหลือเกิน ณ จุดนี้...

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook