สกู๊ปถึง "ผี-หงส์" กับผลงานหลังแดงเดือด : "หนังวน" แต่จบไม่เหมือนเดิม?!

สกู๊ปถึง "ผี-หงส์" กับผลงานหลังแดงเดือด : "หนังวน" แต่จบไม่เหมือนเดิม?!

สกู๊ปถึง "ผี-หงส์" กับผลงานหลังแดงเดือด : "หนังวน" แต่จบไม่เหมือนเดิม?!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อย่างที่ผมได้เรียนไว้หลังเกม “แดงเดือด” ซึ่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกชนะหงส์แดง ลิเวอร์พูล 1-0 นะครับว่า :

ทั้ง 2 ทีมยังมี “โจทย์เดิมๆ” ให้ต้องแก้ไข!

1.แมนฯ ยูฯ จะเล่นแบบนี้ โดยมีโอกาสยิงแค่ 1 ครั้ง เข้ากรอบจาก เวย์น รูนี่ย์ แล้วหวัง “จะชนะ” ทุกเกม

คำตอบ คือ เป็นไปไม่ได้...

2.หากลิเวอร์พูล เล่นได้แบบเกมแดงเดือดที่แพ้ พวกเค้าจะชนะมากกว่า เสมอ หรือแพ้ ทว่าโจทย์ คือ ต้องแก้ไขการเสียประตูง่ายๆ เช่น ฟรีคิก และคอร์เนอร์ให้ได้

ครับ หลังจากเล่นในบ้านแพ้ให้เซาธ์แฮมป์ตัน จากประตูของนักเตะใหม่นักบุญ ชาร์ลี ออสติน ที่เพิ่งย้ายมาจากคิวพีอาร์ ในช่วง 3 นาทีสุดท้ายของเกม

สถานการณ์ที่ หลุยส์ ฟาน ฮัล ได้เคยกล่าวหลังเกม “แดงเดือด” ว่าคือ “จุดเปลี่ยน” และทำให้ทีมปีศาจแดงกลับมามีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก

ได้กลับคืนสู่ “สถานะเดิมๆ” ท่ามกลางเสียงโห่จากแฟนบอลตัวเองใน Theatre of Dream ที่น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น Theatre of Nightmare หรือ โรงละครแห่งฝันร้าย ซะมากกว่า

เกมนี้กับทีมนักบุญ เด็กๆของ ฟาน ฮัล ยังคงรักษา “สถิติ” การเข้าทำได้ไม่ต่างจากเดิม นั่นคือ ยิงเข้ากรอบ 1 ครั้ง ตลอด 90 นาที ไม่รวมทดเจ็บ เหมือนเกมกับแดงเดือด

แต่สิ่งที่ไม่เหมือน คือ โชคชะตาไม่ได้เข้าข้างมากนัก ก่อนทุกอย่างจะกลับสู่ “วังวน” เดิมๆ หากไม่ชนะ และเล่นไม่ถูกใจแฟนๆ นั่นคือ กระแสกดดัน


งานนี้ แรงกระเพื่อมไม่ธรรมดา เพราะมีข่าวที่ โจเซ่ มูรินโญ่ มีจดหมายเสนอตัวเองถึงบอร์ดแมนฯ ยูฯ แม้เอเยนต์ของเค้า ฮอร์เก้ เมนเดส จะออกมาปฏิเสธในภายหลังก็ตาม ณ จุดที่ผ่านมา 23 นัดมี 37 แต้ม อันเป็นตัวเลข “ต่ำสุด” ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกของทีม

อีกแง่ลบ คือ อาการบาดเจ็บของ มัตเตโอ ดาร์เมียน ก่อนเกมเยือนดาร์บี้ ในเอฟเอ คัพ รอบ 4 สุดสัปดาห์หน้า ที่หาก “ตกรอบ” หรือแค่ไม่ชนะต้องรีเพลย์

หนังม้วนเก่าคงได้มาฉายอีก เสมือน “หนังวน” ครับ

ข้างฝ่ายลิเวอร์พูล ในเกมสุด “ระทึกใจ” ทั้งดราม่า และแอ๊กชั่น แว่นตา เจอร์เก้น คล็อปป์ พังกระจายมีครบ

ก็ไม่ได้ต่างกันนักครับ!

แฟนหงส์ต้องทนเห็นทีมรักเสีย 2 ประตู จากตั้งเตะคอร์เนอร์ และเตะยาวจากประตูในแมตช์นี้ ไม่นับ อัลแบร์โต้ โมเรโน่ ทำเสียจุดโทษง่ายๆ

ลิเวอร์พูล นับจากเปิดศักราช 2016 เป็นต้นมา ยังเสียประตูให้ “ช็อตแรก” ที่คู่แข่งยิงเข้ากรอบเป็นแมตช์ที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก

อย่างไรก็ดี พวกเค้าโชคดี และมีความพยายามเพียงพอจากโอกาสยิงเข้ากรอบในเกมนี้ถึง 7 หน จาก 13 ช็อต ที่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้ถึง 5 ลูก (นัดแดงเดือด ยิงเข้ากรอบ 4 หน)

ครับ การสร้างสรรค์เกมในแมตช์ที่ โรแบร์โต้ เฟียร์มิโน่ เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ และยิงได้ 2 ประตู รวมถึง อดัม ลัลลาน่า เปลี่ยนเกมได้ดีในฐานะตัวสำรอง

อย่างน้อยทำให้แฟนๆได้ชื่นใจ และมีลุ้นทุกนัด เฉพาะอย่างยิ่งท้ายเกมที่ไม่มีใครรู้ว่า “ดราม่า” อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง

รู้เพียงแต่ว่า คล็อปป์ บอกไม่ให้ออกจากสนาม และร่วมเป็นกำลังใจ ก่อนที่นักเตะหงส์แดงชุดนี้จะแสดงให้เห็นว่า ทำได้ดีจริงๆในตอนท้ายเกม

ทว่า มันจำเป็นขนาดไหนครับที่ต้องเสียประตูง่ายๆ เช่นแมตช์นี้ อุตส่าห์นำก่อน 1-0 แต่โดนยิงแซง 3-1 แล้วค่อยๆมาไล่คืน

โอกาสจะชนะคู่แข่งที่ออกนำ 2 เม็ดไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ เช่น นี่เป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกเท่านั้น ที่ลิเวอร์พูลชนะในเกมเยือนที่โดนนำเยอะแบบนี้

หรือจะมีกี่เกมที่คู่แข่งจะห่วยในเกมรับพอๆกัน และเสียได้ถึง 5 ประตู

ครับ อเล็กซ์ นีล กุนซือสกอตต์ของทีมนกขมิ้นไม่ได้ปลื้ม และยอมรับโดยดุษฎีว่า เสีย 5 ประตู จะไปชนะใครได้อย่างไร?

ส่วนลิเวอร์พูล จะตรงข้ามกับแมนฯ ยูฯ ครับว่า แม้ “โจทย์เดิม” ที่เสียประตูจากลูกตั้งเตะยังแก้ไม่ได้ แต่เล่นได้แบบนี้จะชนะ มากกว่าแพ้ หรือเสมอ

ขณะที่แมนฯ ยูฯ หากเล่นสไตล์นี้ จะเสมอหรือแพ้ มากกว่าชนะครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook