สกู๊ป : ปรากฎการณ์ "เงิน" ของลีกแดนมังกร

สกู๊ป : ปรากฎการณ์ "เงิน" ของลีกแดนมังกร

สกู๊ป : ปรากฎการณ์ "เงิน" ของลีกแดนมังกร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ถึงแม้ตลาดนักเตะซื้อขายช่วงฤดูหนาวในยุโรปจะปิดตัวลงไปเรียบร้อยแล้ว แต่เรื่องของการซื้อขายนักเตะจากทีมดังในยุโรปยังไม่หมดแค่นี้

เพราะลีกที่ใช้เงินมากที่สุดในช่วงนี้อย่าง “ไชนีส ซูเปอร์ลีก” ของจีน ที่ทีมต่างๆใช้เงินในช่วงเดือนมกราคมไปรวมกันถึง 136 ล้านยูโรหรือประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ยังคงเดินหน้าต่อในทุ่มเงินซื้อนักเตะ

ไม่ว่าจะเป็น “เอเซเกล ลาเวซซี่” ของปารีส แซงต์ แชร์กแมง, “ยาย่า ตูเร่” ของแมนฯ ซิตี้, “อเล็กซ์ เทเซร่า” ของชัคตาร์ โดเนตส์ก กำลังถูกสโมสรในแดนมังกรตามจีบ

หลังจากรายล่าสุด “แจ็คสัน มาร์ติเนซ” กองหน้าชาวโคลัมเบียเรียบร้อยโรงเรียน “กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์” ด้วยค่าตัว 42 ล้านยูโร ให้กับต้นสังกัดเก่าตราหมี “แอตฯ มาดริด”

ก่อนหน้านี้มีนักเตะชื่อดังมากมายที่ไปกินติ๋มซำ ไม่ว่าจะ “รามิเรส” ที่ย้ายจาก “เชลซี” ไป “เจียงซู ซู่หนิง” ด้วยค่าตัว 33 ล้านยูโร

“แชร์วินโญ่” จาก “โรม่า” ไป “เหอเป่ย ฟอร์จูน” ค่าตัว 18 ล้านยูโร หรือ “เฟรดี้ กัวริน” จาก “อินเตอร์ มิลาน” ไปเซี่ยงไฮ้ เซินหัว ค่าตัว 12 ล้านยูโร

และเชื่อว่าไม่หยุดแค่นี้แน่ ซึ่งเหตุผลเดียวที่นักเตะเหล่านี้ยอมไปเล่นในลีกที่ถือว่าอ่อนชั้นกว่าในยุโรป หรือแม้กระทั่งในบ้านเกิดอย่างในอเมริกาใต้หรือในแอฟริกา ด้วยเหตุผลข้อเดียวคือ “เงิน” เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น “ทีมชาติจีน” เผลอๆเป็นรอง “ทีมชาติไทย” ของเราด้วยซ้ำ

เรื่องนี้ส่วนตัวยอมรับว่า “บ้ามากๆ” เพราะนักเตะระดับเกรดบีเกรดซีของทีมในยุโรป ส่วนใหญ่ได้รับค่าเหนื่อยไม่ต่างจากนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ในทีมใหญ่ของยุโรป เมื่อไปถึงเมืองจีน

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของการดึงนักเตะของทีมในลีกจีน ต่างจากการดึงนักเตะไปเล่นในเมเจอร์ลีกของสหรัฐอเมริกาหรือในลีกตะวันออกกลาง

แม้ว่าจะใช้ “เงิน” มากมายมหาศาลเหมือนกัน คือ ลีกสหรัฐหรือลีกอาหรับต้องการนักเตะระดับเอลิสต์ประเภทซูเปอร์สตาร์ในยุโรปเท่านั้น

บางทีอาจจะอายุเลยหลักสามกลางๆ แต่ชื่อยังขายได้เพื่อเป้าหมายในการเรื่องของการประชาสัมพันธ์ หรือเปิดตลาดภูมิภาคเป็นหลัก

แต่ลีกจีนเป้าหมายไม่ใช่แค่พีอาร์เป็นหลัก ถ้าสังเกตนักเตะที่ไปอาจจะมีสตาร์บ้างแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ประเภทที่แฟนบอลจะคลั่งไคล้ หน้าตาดู บุคลิกดี แถมหน้าตาไม่หล่ออีกต่างหาก

ไม่ว่าจะ “รามิเรส” “แชร์วินโญ่” “เฟรดดี้ กัวริน” หรือ “แจ็คสัน มาร์ติเนซ” แต่ยังมีเป้าหมายอื่นๆไม่ว่าจะเอาไปช่วยให้ทีมแกร่งขึ้นและไปมาๆส่วนตัวคิดเอง บางทีอาจจะเหมือนของสะสมสั่งสมบารมีเจ้าของสโมสรมากกว่าซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าสัว อาเสี่ย อาเฮียทั้งนั้น

แน่นอนว่าการมาของนักเตะเหล่านี้จะทำให้โฉมหน้าของวงการฟุตบอลจีนเปลี่ยนไปรวมทั้งภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะฟุตบอลรายการเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่น่าดูมากขึ้นเวลาทีมจากแดนมังกรลงเตะ

เอาแค่สัปดาห์หน้าที่ตัวแทนจากบ้านเรา “เอสซีจี เมืองทองฯ” จะลงสนามเจอกับ “เซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี” ในเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือก รอบที่ 3

ก็จะได้เห็นนักเตะอย่าง “อซาโมอาห์ กียาน” หรือ “ดาริโอ คอนก้า” นักเตะที่เคยสร้างสถิติรับค่าเหนื่อยมากที่สุดในโลกสมัยอยู่ “กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์” ในปี 2008 ได้ 10 ล้านยูโร ปัจจุบันอายุ 32 ปีไม่เคยเล่นในยุโรปหรือติดทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดใหญ่สักครั้ง

ไม่นับโค้ชที่ชื่อ “สเวน โกรัน อีริคส์สัน” อีก ที่มาด้วยเงินล้วนๆ ซึ่งอีกข้อที่ลีกจีนต่างจากลีกสหรัฐหรืออาหรับคือไม่ใช่แค่ดึงนักเตะอย่างเดียว แต่เขาทุ่มเงินดึงผู้จัดการทีมที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกมาคุมทีมด้วย

ไม่ว่าจะ “เกรเกอริโก้ มานซาโน่” “อัลแบร์โต้ ซัคเคโรนี่” หรือ “มาร์เชลโล่ ลิปปี้” หลังพาอิตาลีคว้าแชมป์โลกก็เคยมาทำงานที่จีนกับ “กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์” ถึง 2 ปี

สุดท้ายสรุปได้อย่างเดียวว่า ลีกจีน “บ้ามากๆ” ด้วยจำนวนเงินขนาดนั้น ถ้าสามารถย้ายทั้งลีกพรีเมียร์ลีก หรือบอลถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแข่งที่เมืองจีนได้ คงใช้เงินทำไปแล้ว

ถ้าถามว่ายุคนี้ใครครองโลกฟุตบอล คงต้องตอบว่า “เงินหยวน” ของจีนครับ

เรื่องโดย  : แบงค์ พิพัช

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook