จับตา “ลีกจีน” เงินเหลือ?!!
ช่วงนี้กระแส “ลีก จีน” มาแรงจริง ๆ แล้วครับหลังล่าสุด อเล็กซ์ เตเซร่า เป้าหมายสำคัญของลิเวอร์พูล ได้โยกย้ายถิ่นฐานจากยุโรปไปค้าใน “ไชนีส ซูเปอร์ลีก จีน” อีกคนแล้ว
รวมกับ 2 บิ๊กเนมก่อนหน้านี้แค่สัปดาห์เดียวอย่าง แจ็คสัน มาร์ติเนซ และรามิเรซ
“ลีก จีน” จึงซิวนักเตะแค่ 3 คนนี้เป็นวงเงินถึง 90 ล้านปอนด์
ไม่นับข่าวลือว่า ออสการ์ เคยถูกเจียงซู ซูหนิง เสนอเงินเพื่อแลกตัวให้เชลซี ด้วยเงิน 75 ล้านปอนด์ แต่ทีมสิงโตน้ำเงินครามไม่ขาย หรือเป็นแค่ “ข่าวลือ” ก็ไม่ทราบได้
ขณะที่ ยาย่า ตูเร่ ก็ยังมีข่าวจะย้าย, จอห์น เทอร์รี่ ก็อาจจะด้วย และนักเตะอีกมากมาย
ประเด็นนั้นอยู่ที่ แต่ก่อนข่าวแบบนี้คงเป็นได้แค่ “ข่าวลือ” ปัญหาอ่อนด้วยซ้ำ
เหมือนบ้านเราที่ช่วงปี สองปีก่อนเคยมีข่าว อเล็กซานโดร เดล ปิเอโร่ ติด ๆ กัน ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ย้าย
แม้ลีกบ้านเราจะ “บูม” และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่เรา ๆ ท่าน ๆ ยังคงต้องยอมรับนะครับว่า “เม็ดเงิน” เรายังไม่ถึง และมันคงจะยากมาก ๆ ที่จะ “ง้าง” นักเตะเกรดที่ซูเปอร์ลีกจีนกำลัง “สะสม” กำลังพลอยู่ ณ ขณะนี้
ผมเขียนให้เห็นภาพนะครับ นักเตะต่างชาติอย่าง มาร์ติเนซ, เตเซร่า และรามิเรซ มีค่าตัวประมาณเดือนละ 500,000 เหรียญสหรัฐ หรือปีละ 6 ล้านเหรียญฯ ง่าย ๆ และสบาย ๆ
ฉะนั้น ในการฉีกสัญญาเดิมจากถิ่นที่คุ้นเคยอย่าง ลีกยุโรปใหญ่ ๆ เม็ดเงินที่ง้างมันต้องมากพอ “ดึงดูด” ดาวเตะที่ต่างอยู่ในช่วงเวลาพีคการค้าแข้งได้
หาไม่แล้ว นักแหล่านี้สู้อยู่เตะในยุโรปไม่ดีกว่าหรือ?
เช่น เตเซร่า ถึงกับ “ปฏิเสธ” ลิเวอร์พูลกี่ครั้ง? เพื่อจะมา เจียงซู ซูหนิง!?
มันไม่ make sense หรอกครับ
ในบ้านเรา เท่าที่ผมมีข้อมูล และตัวเลขพอสรุปได้ สโมสรใหญ่บ้านเราน่าจะมีศักยภาพในการง้างเพียงประมาณปีละ 1 ล้านเหรียญฯบวก ๆ
หรือราว ๆ เดือนละ 100,000 เหรียญ หรือเดือนละ 3-4 ล้านบาท...เต็มที่แล้ว!
ดังนั้น อย่างต่ำ ๆ คือ เรายังไกลจากอำนาจแม่เหล็กในการแข่งขันดึงตัวนักเตะเกรดเอ เฉพาะอย่างยิ่งเป็น “A+” ที่อายุยังไม่มาก
ไม่ใช่แก่ ๆ มา “ทิ้งทวน” การค้าแข้งเหมือน สตีเวน เจอร์ราร์ด, แฟรงค์ แลมพาร์ด, แอชลีย์ โคล ฯลฯ ไปจบอาชีพค้าแข้งที่ MLS ลีก
ผมคงไม่ลงรายละเอียดว่า รัฐบาลจีน ว่ามีนโยบายผลิตนักกีฬาฟุตบอลเยาวชนให้ได้จำนวนรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมฟุตบอลในประเทศ
หรือต้องการประสบความสำเร็จในเวทีบอลโลก หรือโอลิมปิกมากกว่าทุกวันนี้ที่แค่บอลโลก็ผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายได้เพียงครั้งเดียวในปี 2002
หรือ “ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง” ก็แทบจะแตะหลัก 100 ทั้งที่ “ภาพรวม” กีฬาอื่น ๆ ของประเทศไปไหนต่อไหนหมดแล้ว และทำได้ดีทุกจะเวทีไม่ว่าจะระดับเอเชียนเกมส์ หรือโอลิมปิก
ทว่ากับ “ฟุตบอล” ประเทศจีนยังเหมือน “ตั้งไข่” และจำเป็นต้องโดนกระตุ้น ขับเคลื่อนอย่างแรงจากภาครัฐนำโดยท่านประธานาธิบดี สี จิ้นผิง
ส่งต่อนโยบายไปยังท้องถิ่น ตามด้วยภาคเอกชนที่ “ตอบรับ” และเข้าร่วมป้อนเม็ดเงินเข้าระบบอย่างเต็มที่ผ่านการซื้อทั้งนักเตะ และยอดกุนซือที่มีทั้ง สเวน โกรัน เอริคส์สัน, หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่, มาโน่ มาร์ติเนซ, วานเดอร์เรย์ ลุคเซมเบอร์โก้
เพื่อสุดท้ายคือการได้เห็นประเทศจีนเป็น “แพลตฟอร์ม” แห่งอุตสาหกรรมกีฬาในทุกแง่
อย่างไรก็ดีครับ ผมเองได้เคยเขียนบ่อย ๆ ว่า การจะพัฒนากีฬา หากจะมุ่งเน้นไปที่ “ยอดปีระมิด” เช่นกรณีอุตสาหกรรมฟุตบอลจีนขณะนี้
และหวังจะให้เกิดกระแส “กระเพื่อม” ไปสู่ระดับ “รากหญ้า” นั้นไม่ง่าย และจะมักจะมีฝ่ายคัดค้านเสมอ ๆ ว่า สู้เอาเงินไปลงที่ grassroots หรือรากหญ้าโดยตรงจะดีกว่าไหม?
ทว่า เราต้องภาพทั้ง “ภาพใหญ่” ของอุตสาหกรรมฟุตบอลจีน ทั้งการตลาด, สื่อสารประชาสัมพันธ์, การจัดการ ที่ย่อมได้รับการกระตุ้นให้เกิดการลงทุน และส่งผลลัพธ์ตามมาทั้งทางตรง และทางอ้อมด้วย
ทั้งนี้ ผมค่อนข้างเชื่อว่า หากจีนกล้าจ่าย “ไม่อั้น” แบบไม่คิดชีวิต
เข้าตำรา กรูเอาหน้าไว้ก่อน เรื่องอื่นกรูไม่สน ลักษณะนี้
พวกเค้าต้องมี “เงินเหลือ” สำหรับการลงทุนในลำดับล่าง ๆ ลงมาปิรามิดที่ฐานะล่างสุดจะใหญ่สุด แต่มักจะได้รับเม็ดเงิน หรือความสนใจน้อยที่สุด
ครับ ผมไม่ได้พูดว่า จีน ลงทุนผิด แต่ผมเพียงอยากให้จับตามองว่า นี่คือ “เฟสแรก” ของการพัฒนาอุตสาหกรรมฟุตบอลจีน
ที่หากเป็นตามแผน และ “เงินเหลือ” ไม่หมดไปจากการสนับสนุนของทุกภาคส่วนโดยเฉพาะเอกชน และหนุนหลังโดยรัฐบาลแบบนี้
ในอนาคต เราคงได้เห็นนักเตะจีน, ซูเปอร์ลีกจีน และทีมชาติจีน ประสบความสำเร็จตามแผนที่เป็นนโยบายชาติในครั้งนี้ครับ