สกู๊ป : "พอก็คือพอ"

สกู๊ป : "พอก็คือพอ"

สกู๊ป : "พอก็คือพอ"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เสียงเพลง You’ll never walk alone ดังกระหึ่มกึกก้องในแอนฟิลด์เหมือนทุกครั้ง หรืออาจจะมากกว่าทุกครั้งด้วยซ้ำไป

เพียงแต่ในครั้งนี้มันไม่ได้ดังขึ้นในช่วงก่อนหมดเวลาการแข่งขัน แต่เสียงเพลงนั้นดังขึ้นตั้งแต่นาทีที่ 75 ของการแข่งขัน

ณ เข็มนาฬิกานั้นนักเตะในชุดแดงเพลิงยังลงทำหน้าที่อยู่ในสนาม กับสถานการณ์ที่ค่อนข้างได้เปรียบกับสกอร์นำ 2-0 ในรูปเกมที่ไม่ได้ลำบากอะไรมากมายนัก

กล้องโทรทัศน์พยายามจับภาพของบรรยากาศบนอัฒจันทน์ไม่น้อยไปกว่าการจับภาพในสนาม ราวกับต้องการร่วมเป็นประจักษ์พยานของเหล่า Kopites ผู้ประกาศตนชัดว่าพวกเขาไม่พอใจกับการปฏิบัติของสโมสรที่มีต่อพวกเขาเหล่านักรบข้างสนามผู้จงรักและภักดีมาโดยตลอด

แม้ในบทเพลงจะมีท่อนติดหูว่า Walk on, walk on

แต่เหล่าเดอะ ค็อป เรือนหมื่นยืนกรานตามความต้องการของหัวใจที่จะ Walk out ออกจากสนามในนาทีที่ 77 - ตัวเลขที่เทียบเท่ากับจำนวนค่าตั๋วเข้าชมในสนามที่เตรียมจะเพิ่มขึ้นในฤดูกาลหน้า

เสียงขับขาน Enough is enough ดังกระหึ่มขึ้นก่อนที่พวกเขาจะทยอยเดินออกจากสนามไป และยังดังอยู่ตลอดทางเดินออกจากแอนฟิลด์สู่หน้าสนาม ณ จุดที่ทุกคนมารวมกันเพื่อแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยต่อฝ่ายบริหารของสโมสร

ทั้งนี้แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่าการเดินออกจากสนามของเหล่าเดอะ ค็อป นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ภายในเกมหรือไม่

แต่ยากนักที่จะปฏิเสธครับว่ามันได้เปลี่ยนแปลงบรรยากาศในสนามแอนฟิลด์มหาศาล

นั่นอาจส่งผลต่อสมาธิของผู้เล่นด้วยเช่นกัน


ลิเวอร์พูล ไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดี พวกเขายังห่างไกลจากระดับของทีมที่ต้องการลุ้นแชมเปี้ยนส์ ลีก และห่างไกลจากสิ่งที่แฟนบอลคาดหวังเมื่อ เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามารับตำแหน่งอีกนับล้านปีแสง แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาได้ 2 ประตูที่มาจากการเล่นที่ดี

โรแบร์โต้ เฟียร์มิโน่ ยังคงเป็นความหวังเดียวในแดนหน้า เป็นผู้เล่นคนเดียวในทีมหงส์แดงที่สามารถสร้างอันตรายให้เกิดขึ้นแก่ซันเดอร์แลนด์ ของ “บิ๊กแซม” แซม อัลลาร์ไดซ์

ประตูขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 59 ยังคงมาจากเขาเหมือนเช่นเดิม กับการสอดหาตำแหน่งขึ้นโหม่งลูกเปิดจาก เจมส์ มิลเนอร์ ที่โค้งเข้ามาหาที่เสาไกลอย่างแม่นยำ

ลูกโหม่งของสตาร์ชาวบราซิลปลดเปลื้องความกดดันของทีมลงได้บ้าง และความขยันของเขาที่ไล่จนชิงบอลได้ก่อนจะจ่ายให้ อดัม ลัลลานา ยิงประตูให้ทีมหนีห่างเป็น 2-0 ในนาทีที่ 70 เป็นรางวัลตอบแทนที่คุ้มค่า

ในสถานการณ์นั้นลิเวอร์พูล สมควรได้ 3 คะแนนแล้ว แม้ว่าในครึ่งแรกจะเล่นได้แย่แค่ไหนก็ตาม เพราะซันเดอร์แลนด์เองนั้นไม่มีอะไรเสียยิ่งกว่า

แต่ 7 นาทีหลังจากนั้นเหล่าเดอะ ค็อป เดินจากไป

อีก 5 นาทีต่อมา ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้น


เป็นอีกครั้งที่ อัลแบร์โต้ โมเรโน่ เสียฟาวล์แบบไม่จำเป็นในตำแหน่งที่อันตราย และนั่นนำไปสู่จุดเริ่มต้นหายนะของพวกเขาเองครับ

ฟรีคิกของอดัม จอห์นสัน ปั่นอ้อมกำแพงและผ่านมือซิมง มิโญเลต์ เข้าไปอย่างง่ายดาย

ง่ายเหมือนเดิมคือง่ายเกินไป

ประตูที่เสียไปนี้ทำให้ความสงสัยในตัวนายทวารชาวเบลเยี่ยมที่ไม่เคยหายไปกลับมาอีกครั้ง ซึ่งสำหรับผู้รักษาประตูที่พร้อมปล่อยบอลที่ยิงเข้ากรอบครั้งแรกของเกมให้ผ่านมือตัวเองไปต่อเนื่องมา 5 นัด บางครั้งมันเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องจัดการ

เช่นกันกับแนวรับที่อ่อนปวกเปียกและปล่อยให้ เจอร์เมน เดโฟ พลิกตัวยิงเสียบเสาแรกเป็นประตูตีเสมอก่อนหมดเวลา 1 นาที ก็จำเป็นต้องจัดการเช่นกัน

ในความชื่นชมต่อความพยายามของ ซันเดอร์แลนด์ และชื่นชมต่อสัญชาติญาณของบิ๊กแซมที่สั่งให้ลูกทีมไล่ล่าทันทีที่รู้ว่าลิเวอร์พูล มีอาการ “แกว่ง” ผมคิดว่า คล็อปป์ ซึ่งเข้ารับการผ่าตัดไส้ติ่งน่าจะเข้าใจว่าทีมชุดที่เขาได้รับมรดกมานั้น ไม่สามารถทำอะไรให้ดีไปกว่านี้ได้แล้ว


บางครั้งในเกมฟุตบอลในสภาพที่ทีมไม่เหลือความเชื่อมั่นเป็นระยะเวลานาน การพยายามจะเปลี่ยนทีมเช่นนั้นให้เป็นทีมใหม่ที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นเรื่องที่ยากมหาศาล และไม่ใช่จะทำได้สำเร็จทุกครั้ง

คล็อปป์ จำเป็นจะต้องเปลี่ยนทีมเป็นการเร่งด่วน ดร็อปผู้เล่นที่สร้างความเสียหายให้กับทีมไม่ว่าจะเป็น มิโญเลต์, มามาดู ซาโก้, โมเรโน่, เอ็มเร ชาน, ลูคัส เลวา และอาจรวมถึง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมเป็นผู้นำทีม เพื่อเปิดโอกาสให้ทีมได้มีความตื่นตัวใหม่ๆเกิดขึ้น และให้นักเตะเหล่านั้นได้ “ทบทวน” ตัวเองบ้าง

ในสถานการณ์ที่แทบไม่เหลือสิ่งใดให้ได้ลุ้นเช่นนี้ คล็อปป์ควรทำเช่นนั้น

ไม่ต่างอะไรจากเหล่า Kopites

พอก็คือพอ!!



นิทานลูกหนัง by ลูกแม่กิ่ง
(lookmaeking@hotmail.com)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook