สกู๊ป : "นิยายเลสเตอร์" เรื่องโรแมนติกของฟุตบอล "ทุนนิยม"

สกู๊ป : "นิยายเลสเตอร์" เรื่องโรแมนติกของฟุตบอล "ทุนนิยม"

สกู๊ป : "นิยายเลสเตอร์" เรื่องโรแมนติกของฟุตบอล "ทุนนิยม"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจบเกมที่สนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม ของทีมเรือใบสีฟ้า “แมนฯ ซิตี้” เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นนัดที่สามในฤดูกาลนี้ที่เจ้าบ้านปราชัยในถิ่นของตัวเอง หลังจากถูกขุนพลจิ้งจอกสยาม “เลสเตอร์ ซิตี้” บุกมายัดเยียดความปราชัยด้วยสกอร์ 3-1

มาถึงตอนนี้ลูกทีมของ “เคลาดิโอ รานิเอรี่” ถือว่ามีลุ้นแชมป์เต็มตัวนำทีมอันดับสองถึง 5 คะแนน ด้วยกัน ลองย้อนกลับไปก่อนเปิดฤดูกาล ถ้าใครบอกว่าหลังจบเดือนมกราคม “เลสเตอร์ ซิตี้” จะมีเป็นจ่าฝูงมีลุ้นแชมป์ลีกสมัยแรกของตัวเอง ก็คงจะเป็น “คนบ้า” กับ “คนเมา” เท่านั้น

 เพราะไม่มีเหตุผลอันใดที่ทีมควรมาอยู่จุดนี้ ขนาดฤดูกาลที่แล้วยังหนีตกชั้นแบบแทบตาย เรื่องขุมกำลังและศักยภาพตัวผู้เล่นก็ถือว่าเกรดเป็นรองบรรดาทีมใหญ่ในลีกทั้งหลาย เม็ดเงินในการทำทีมไม่ต้องพูดถึงเอาแค่เทียบกับค่าตัว 50 ล้านปอนด์ ของ “ราฮีม สเตอร์ลิ่ง” ก็ซื้อได้ทั้งทีมแล้วกระมัง

 แถมกุนซือชาวอิตาเลียนอย่าง “เคลาดิโอ รานิเอรี่” แม้จะมีประสบการณ์กับทีมใหญ่ในยุโรปมากมาย ไม่ว่าจะ “ยูเวนตุส” “นาโปลี” “เชลซี” “บาเลนเซีย” “แอต.มาดริด” “ โรม่า” “อินเตอร์ มิลาน” หรือ “โมนาโก” แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จพาทีมไหนคว้าแชมป์ลีกได้สักทีม อย่างเก่งก็แค่ได้ฟุตบอลถ้วย “โคปป้า อิตาเลีย” กับ “ฟิออเรนติน่า” และ “โคปา เดล เรย์” กับ “บาเลนเซีย”  

จนถูกตั้งฉายาว่า “ทิงเกอร์แมน” จนกลายเป็นคนดูเหมือนจะไร้วาสนากับความสำเร็จ ซึ่งการตัดสินใจมาคุม “เลสเตอร์” ของ “รานิเอรี่” บางทีเชื่อว่าเป็นการตัดสินใจด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผลเพราะเป้าหมายของทีมคือการอยู่รอดปลอดภัยในพรีเมียร์ลีก ไมใช่มาลุ้นแชมป์แบบนี้

แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นทีมเต็ง 1 ในการเป็นแชมป์ลีกเมืองผู้ดี หลังผ่านเกมล่าสุดจากร้านรับพนันถูกกฎหมายในอังกฤษด้วยอัตรา 15/8 (แทง 8 จ่าย 15 ไม่รวมทุน) ต่างจากช่วงก่อนเปิดฤดูกาลที่อัตราต่อรองโอกาสที่จะเป็นแชมป์อยู่ที่ 5000/1 (แทง 1 จ่าย 5000)

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าบรรดานักเตะอย่างแนวรุกอย่าง “เจมี่ วาร์ดี้” “ริยาด มาห์เรซ” “เอ็นโกโล่ ก็องเต้” หรือแนวรับอย่าง “คริสเตียน ฟุชส์” “แดนนี่ ซิมพ์สัน” “เวส มอร์แกน” ที่แทบไม่มีใครรู้จัก บวกกับพวกที่กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้ง “แคสเปอร์ ชไมเคิล” “โรเบิร์ต ฮูธ” “มาร์ก อัลไบร์ตัน”  “ดาเนี่ยล ดริ๊งค์วอเตอร์” “ชินจิ โอกาซากิ” จะช่วยกันพาทีมมาได้ไกลขนาดนี้

โดยเฉพาะ “เจมี่ วาร์ดี้” ที่เมื่อ 3 ปีที่แล้วยังเป็นนักเตะโนเนมนอกลีกอยู่เลย ตอนนี้กำลังรั้งตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดที่ 18 ประตู

ด้วยสไตล์การเล่นที่ปราศจากความกดดัน ไม่มีใครมาคาดหวังว่าจะต้องลุ้นแชมป์อะไรนอกจากอยู่รอด บวกกับเคมีที่ลงตัว โดยเฉพาะเกมรุกและสปีดบอลที่รวดเร็ว มีความเด็ดขาดพร้อมกับความสามารถเฉพาะตัวแฝงของนักเตะภายในทีม อาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ทีมมาถึงจุดนี้ โดยตอนนี้ยิงรวมกันเป็นอันดับ 1 ของลีกที่ 47 ประตู

ชัยชนะที่ผ่านมาเหนือ “แมนฯ ซิตี้” “ลิเวอร์พูล” “สเปอร์ส” “เอฟเวอร์ตัน” “เชลซี” หรือการเสมอกับ “แมนฯ ยูไนเต็ด” คงไม่ใช่ด้วยเหตุผลของ “โชค” เพียงอย่างเดียวแน่

 แน่นอนว่าตอนนี้ขุนพล “เลสเตอร์” อีกครั้งที่กำลังเขียนนิยายเรื่องโรแมนติกในโลกของฟุตบอลสมัยนี้ที่เป็นทุนนิยม “เงิน” ซื้อได้ทุกอย่างไปหมดแล้ว เพราะตั้งแต่มี “พรีเมียร์ลีก” มาในปี 1992 มีเพียง “แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส” ทีมเดียวที่เป็นแชมป์เหนือบรรดาทีมใหญ่ แต่ก็เพราะเงินของ “แจ็ค วอลเกอร์” ที่อัดเข้ามาแบบบ้าคลั่งในฤดูกาลนั่น

 สุดท้ายนิยาย “เลสเตอร์” จะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งหรือดราม่าคงต้องรอดูกันต่ออีก 3 เดือน แต่อย่างน้อยๆ เนื้อเรื่องก็ “โรแมนติก” ในการเป็นจ่าฝูงเหนือทีมใหญ่ทุนนิยมทั้งหลายแล้วครับ

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook