วันที่ฝันเป็นจริง ณ "สแตมฟอร์ด บริดจ์" (โดย น้องเพชร)

วันที่ฝันเป็นจริง ณ "สแตมฟอร์ด บริดจ์" (โดย น้องเพชร)

วันที่ฝันเป็นจริง ณ "สแตมฟอร์ด บริดจ์" (โดย น้องเพชร)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มาตามสัญญาที่ให้ไว้วันก่อน ที่ได้เกริ่นว่ามีโอกาสได้มาเยือนกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ รวมไปถึงได้เข้าชมเกมในสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ คู่ซูเปอร์ซันเดย์ ระหว่าง "เชลซี vs แมนฯ ยูไนเต็ด" เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา

ต้องบอกว่าเป็นความโชคดี ที่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของคณะ 23 คน ที่ทางบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ได้เชิญสื่อมวลชนพร้อมเหล่าผู้โชคดีที่สมัครใช้บริการ "AIS ดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกสดผ่านมือถือ" ร่วมตะลุยลอนดอน โดยมีกำหนดการตั้งแต่วันที่ 5-9 ก.พ. นั่นเอง

สำหรับการแข่งขันเป็นไปอย่างสนุกตื่นเต้นเร้าใจ ก่อนที่ผลจะเสมอกันไปอย่างบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น 1-1 โดยทีมเยือนได้ประตูขึ้นนำก่อนในนาทีที่ 61 จาก "เจสซี่ ลินการ์ด" ตัวรุกดาวรุ่งของทีม ก่อนจะเป็น "ดีเอโก้ คอสต้า" หัวหอกจอมกวนของเจ้าถิ่นมาซัดแบ่งแต้มในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความที่ผมเป็นแฟนบอลเชลซี ถ้าให้นับจริงๆปีนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 16 แล้ว (แต่ผมยังไม่แก่นะครับ แฮร่!) ต้องใช้คำว่า "ฝันเป็นจริง" แล้วครับ สำหรับการได้ชมทีมรักใน "เดอะ บริดจ์" สักครั้งในชีวิต

เรียกได้ว่าการมาลอนดอนครั้งนี้ ผมได้สัมผัสบรรยากาศที่เป็น "วิถีฟุตบอลอังกฤษ" อย่างสมบูรณ์สุดๆ

ไล่ตั้งแต่ก่อนเกมจะเริ่ม การได้เดินชมบรรยากาศรอบๆสนาม คราคร่ำไปด้วยฝูงอิงลิชชนทุกเพศทุกวัย ได้เห็นซุ้มขายของที่ระลึกสุดคลาสสิก เห็นระบบการคมนาคมสาธารณะที่สมบูรณ์แบบ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนไม่น้อยที่ควบคุมสถานการณ์อยู่ตามจุดต่างๆ

สำหรับแฟนบอลฮาร์ดคอร์ก็มีโผล่มาให้เห็นบ้าง ซึ่งพวกนี้จะมาในรูปแบบเดินกันเป็นกลุ่มใหญ่นับสิบคน ร้องเพลงเสียงดังประกาศศักดา พร้อมถอดเสื้อท้าทายอุณหภูมิ 6 องศาประหนึ่งไม่เคยรู้จักความหนาวมาก่อน (แต่ดูทรงแล้วน่าจะเป็นเพราะเพิ่งดวดเบียร์มามากกว่า ฮาาา)

ส่วนวัยรุ่นทั้งที่มาแบบเป็นกลุ่มหรือคู่รัก ก็จะออกแนวเฮฮากันเอง เหมือนได้โอกาสนัดพบปะสังสรรค์กันไปในตัว แต่ที่เด็ดสุดน่าจะเป็นคุณยายท่านหนึ่ง ซึ่งให้ผมเดาอายุต้องไม่ต่ำกว่า 70 ปีแน่ๆ อยู่ในชุดโอเวอร์โค้ต สวมหมวกไหมพรมแปะโลโก้สโมสรเชลซี เดินฝ่าลมหนาวผ่านผมไปอย่างลำพัง

เจ็บใจตัวเองตรงที่มัวแต่อึ้งแหละครับ มองแกเดินผ่านไปจนลับตา ยกกล้องขึ้นมาถ่ายไม่ทัน! อย่างเท่!

ต้องยอมรับครับว่า สำหรับที่นี่เป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะฟุตบอลลีกของเขามีอายุนับร้อยปีแล้ว แต่ถึงจะทราบมาก่อน เอเชียผิวเหลืองอย่างผมก็อดไม่ได้ที่จะสตั๊นครับ

เกมนี้กรุ๊ปของเราได้นั่งกับกองเชียร์ฝั่งเจ้าบ้านทุกคน ผมได้นั่งอัฒจันทร์ฝั่งตะวันตก (West Stand) ซึ่งเป็นฝั่งที่ใหญ่ที่สุดของสนาม ร่วมกับพี่น้องสื่อมวลชนท่านอื่นๆ ส่วนผู้โชคดีของ AIS ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มนึงได้นั่งฝั่งตะวันตกเหมือนกันแต่คนละโซน ส่วนอีกกลุ่มนั่งฝั่งตะวันออก ได้เห็นซุ้มม้านั่งสำรองของทั้งสองทีมแบบใกล้ชิดไปเลย

เริ่มเกมมาสถานการณ์ก็อึมครึมเลยครับสำหรับฝั่งเจ้าถิ่น เพราะ "ปีศาจแดง" เป็นฝ่ายเปิดเกมรุกกดดันได้มากกว่า พาบอลเข้ามาในพื้นที่อันตรายได้บ่อยครั้ง จากที่ร้องเพลงเชียร์กันสนั่นในตอนแรก กลายเป็นลุ้นกันเหงื่อตก เพลงหาย สมาธิไปอยู่ในสนามแทนซะงั้น มีแค่พี่ฝรั่งหัวโล้นมาดแกงส์เตอร์ ที่นั่งถัดจากผมไปสองแถวด้านหน้าคนเดียวที่เสียงไม่มีตก "Go on Chelsea, go on Chelsea!" อยู่ตลอด

แม้รูปเกมเชลซีจะดีขึ้นเมื่อผ่านช่วงครึ่งชั่วโมงแรกของเกมไปแล้ว แต่สกอร์ก็ยังไม่ขยับ ก่อนจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์ 0-0

เริ่มครึ่งหลังมา คราวนี้ดีกว่าเดิมครับสำหรับเจ้าถิ่น ผลัดกันรุก-รับ ชนิด "ธิโบต์ กูร์กตัวส์" และ "ดาบิด เด เคอา" สองนายทวารโชว์เซฟสวยๆไปคนละหลายครั้ง โดยเฉพาะรายหลังนี่ป้องกันลูกยากๆได้หมด สารภาพว่าผมนี่ตะโกนแจกของลับเป็นภาษาไทยให้ไปหลายดอกเลยทีเดียว เหนียวเกิ๊นพ่อคุณ!

จนนาที 61 เมื่อแชมป์เก่ามาโดนนำนั่นแหละ ในสแตมฟอร์ด บริดจ์ อลหม่านได้อีก! สาวกปีศาจแดงที่ตามลงมาเชียร์จากแมนเชสเตอร์ ถึงจะมีอยู่กระจุกเดียวทางเชด เอนด์ หรืออัฒจันทร์ทิศใต้แต่เฮฮากันยกใหญ่ ขณะที่แฟนเจ้าบ้านบางกลุ่มยังส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจนักเตะตัวเอง แต่ก็มีไม่น้อยที่สบถคำหยาบคาย หวังกระตุ้นให้ทีมตีเสมอให้ได้

"Push up! push up! push uuuupppp!! Motherxxxker!" ขึ้นมาสิเว้ย! กดดันพวกมันเข้าไปอีกสิวะ! เจ็ดแม่!!

นั่นไง พี่หัวโล้นคนเดิมลุกขึ้นตะโกนอีกครั้ง หลังเห็น "จอน โอบี มิเกล" ส่งบอลคืนหลัง

ช่วง 15 นาทีสุดท้าย ยิ่งสนุกครับ รูปเกมเป็นเจ้าบ้านที่บุกอย่างต่อเนื่อง จนเข้าสู่ช่วงทดเวลาเจ็บนาทีแรก อสูรน้อย "คาเมร่อน บอร์ธวิค-แจ็กสัน" แบ็กซ้ายวัย 19 ปีที่วันนี้เล่นดีทั้งเกม ดันเสียสมาธิยืนเหม่อไปนิด ทำให้ "คอสต้า" ไม่ล้ำหน้า หลุดเข้าไปซัดติด "เด เคอา" จังหวะแรก ก่อนได้ซ้ำอีกทีเข้าไปตุงตาข่าย

วินาทีนั้นเหมือนยกภูเขาออกจากอกล่ะครับ "เดอะ บลูส์" ต่างบ้าคลั่งกันสุดๆ พี่หัวโล้นกระโดดตัวลอย คำรามอย่างกะคนเสียสติ ส่วนผมน่ะเหรอ? ก็ตะโกนแหกปากอยู่ตรงนั้นเหมือนกันแหละ กลับไทยไม่ต้องถูกเพื่อนล้อว่าเป็นตัวซวยแล้วโว้ย ฮ่าๆๆๆ

หลังจบเกม พวกเรายังอยู่ในสนามต่ออีกสักพัก อยากเก็บเกี่ยวช่วงเวลานี้ไว้ในความทรงจำให้มากที่สุด และต้องยอมรับเลยว่าแฟนบอลที่นี่เคลียร์ตัวเองออกจากสนามเร็วมาก แค่ไม่ถึง 20 นาที เดอะ บริดจ์ก็เริ่มโหวงเหวงแล้ว แน่นอนครับ หลังเกมต้องมีอะไรคุยกันหน่อย มื้อค่ำกับครอบครัวก็น่าถวิลหา หรือจะเป็นเบียร์ที่บาร์ก็รอคอยเราอยู่

เป็นครั้งแรกในอังกฤษที่มิอาจลืมลงตลอดชีวิต ขอบคุณ AIS และ CTH สำหรับประสบการณ์ครั้งนี้, ขอบคุณคุณเคน & คุณดุด สองยอดไกด์ที่ดูแลเป็นอย่างดี, ขอบคุณผู้โชคดีและเพื่อนๆพี่ๆน้องๆสื่อมวลชนทุกท่านที่ช่วยกันทำให้ทริปนี้ราบรื่นและสุดประทับใจ ถ้ามีโอกาสเราคงได้พบกันใหม่อีกครั้ง

ก่อนนอนเราแวะไป The Swan ผับเก่าแก่ชื่อดังตรงข้ามไฮด์ พาร์ค ห่างจากโรงแรมที่เราพักแค่หัวมุมถนน รสชาติของเบียร์กินเนสส์ยอดเยี่ยมกว่าทุกครั้งที่ผมเคยละเลียดมาในชีวิต แต่ระหว่างที่เสวนากับพี่-น้องร่วมวง ความรู้สึกเศร้าก็แวบเข้ามาในห้วงความคิด น่าเสียดายที่ช่วงเวลาแห่งความสุขนี้กำลังจะหมดไป

"ถ้าคืนนี้ได้ดื่มกับพี่โล้นคนนั้นสักไพนต์-สองไพนต์ก็คงดี"

เรื่องโดย "น้องเพชร"

อัลบั้มภาพ 68 ภาพ

อัลบั้มภาพ 68 ภาพ ของ วันที่ฝันเป็นจริง ณ "สแตมฟอร์ด บริดจ์" (โดย น้องเพชร)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook