สกู๊ป : สิงโตคำรามยุคความหวังใหม่

สกู๊ป : สิงโตคำรามยุคความหวังใหม่

สกู๊ป : สิงโตคำรามยุคความหวังใหม่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ส่วนตัวที่ “คุ้นเคย” กับฟุตบอลตั้งแต่เป็นผู้เล่น, ดูบอล, ทำข่าว และเป็นส่วนหนึ่งการทำทีมอย่าง พีทีที ระยอง ผมพูดได้เลยว่า สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผม ไม่ว่าทีมฟุตบอลจะ “เก่งกาจ” ขนาดไหนก็คือ การ “คัมแบ็ก” กลับมาในเกม

ไม่ว่าจะโดนนำก่อน 0-1, 0-2 แล้วกลับมาตีเสมอ หรือถึงขั้นแซงชนะได้!

แม่เจ้าแม่คุณเอ๊ย...! พูดได้คำเดียวว่า หากทำได้มันจะ สะใจ, ภูมิใจ, อิ่มเอมใจ หรืออารมณ์แบบ “ใจ ๆ” ที่สุดใน 3 โลกเลยล่ะครับ

แต่หากโดนเอง!?

ถามใจแฟนหงส์ (และตัวเอง) ในเกมล่าสุดกับเซาแธมป์ตันได้เลยว่า นำ 2-0 แล้วแพ้ 2-3 มันเจ็บปวด, เศร้า และหดหู่ขนาดไหน?

แต่นี่คือ “ฟุตบอล” และฟุตบอล คือ เกมแห่งการเรียนรู้ไม่ว่า จะเป็นผู้ชนะ หรือผู้แพ้

เพราะแน่นอนว่า ไม่มีวัน และไม่มีทางที่ทีมฟุตบอลจะชนะทุกนัด

ไม่งั้น “ทุกทีม” ก็ได้ “แชมป์โลก” กันหมด หรือเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กันได้ทุกทีมใช่ไหมครับ?


สำหรับเกม “ฟีฟ่าเดย์” สุดสัปดาห์นี้ เห็นชัด ๆ 2 เกม บราซิล - อุรุกวัย กับแมตช์แรกในรอบร่วม 2 ปี (640 วัน กับ 9 แมตช์แบน) ของ หลุยส์ ซัวเรซ และทีมชาติที่ทัพ “จอมโหด อเมริกาใต้” ตามหลัง 0-2 ก่อนตีเจ๊า 2-2 โดยหัวหอกบาร์เซโลน่า ทำประตู 2-2

และชัวร์ ๆ กับทีมชาติอังกฤษที่ผมได้พูดมาตลอด 2-3 งานเขียนล่าสุดว่า แมตช์นี้กับเยอรมัน และนัดหน้ากับเนเธอร์แลนด์ ต้อง “เรียนรู้” ให้ได้

และเท้าความเล็กน้อยว่า “โจทย์สำคัญ” ที่ผมได้ไข่ทิ้งไว้คือ:

นักเตะใหม่ ๆ กับความสัมพันธ์ใหม่ ๆ และรูปแบบการเล่นใหม่ ๆ จะพาทีมไปได้ไกลแค่ไหน เพราะหากใช้วิธีการเดิม ๆ บทจบที่น่าจะเรียกว่า “จุดจบ” มากกว่าก็จะเหมือนเดิม

ซึ่งวิธีการเดิม ๆ ที่ผมหมายถึงคือ เล่นโดยพึ่งกัปตันทีม เวย์น รูนีย์ เป็น “แกนกลาง” ที่พิจารณาจากผลงานที่ผ่าน ๆ มาแล้วอังกฤษคงไปไม่เกินรอบ 8 ทีมสุดท้าย

เพราะรูนีย์ ตอนพีค ๆ หรือตอนมีทั้ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด, จอห์น เทอร์รี, เดวิด เบคแคม ฯลฯ อังกฤษยังไปไม่ถึงไหน


ฉะนั้น การบุกชนะเยอรมัน ดีกรี “แชมป์โลก” ได้ถึงกรุงเบอร์ลิน 3-2 จึงไม่ต้องเอื้อยเอ่ยคำพูดใด ๆ ให้นักเตะสิงโตคำราม อังกฤษแล้วครับนอกจากจะบอกว่า “พวกคุณทำได้ยอดเยี่ยมมาก”

ในฐานะกุนซือ; รอย ฮอดจ์สัน คงไม่สามารถ “เรียกร้อง” และขออะไรจากนักเตะตัวเองได้มากกว่านี้แล้ว

โดยอย่างที่ผมเรียนครับว่า การ “come from behind” แม้แค่ 1 เม็ดมาเสมอก็ไม่ง่ายแล้ว....แต่นี่

1.ทีมนั้นคือ “แชมป์โลก” ชื่อ เยอรมัน

2.เล่นในแผ่นดิน เยอรมัน

3.ไม่ใช่เม็ดเดียว แล้วตีเจ๊า แต่โดนนำ 2 เม็ดแล้วแซงชนะ

4.โดยไม่ต้องสนฝั่งตรงข้าม อังกฤษไม่มี โจ ฮาร์ต และเสีย แจ็ค บัตแลนด์ ท้ายครึ่งแรก รวมถึงขาด เวย์น รูนีย์ นักเตะที่แทบจะมีสถิติดีที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติ

อย่างไรก็ดี 11 ขุนพลชุดนี้ (ระบบ 4-2-3-1) อันประกอบด้วย แจ็ค บัตแลนด์ (เฟรเซอร์ ฟอสเตอร์), นาธาเนียล ไคล์น, คริส สมอลลิ่ง, แกรี่ เคฮิลล์, แดนนี่ โรส, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เอริค ดายเออร์, อดัม ลัลลาน่า (รอสส์ บาร์คลีย์), เดลเล่ อัลลี, แดนนี่ เวลเบ็ค (เจมี่ วาร์ดี้) และแฮร์รี เคน


ที่ดูแล้ว “หน้าใหม่” เพียบ และแทบผสมผสานเป็นขุนศึกชุดใหม่ สามารถสร้างความหวังใหม่ และรูปแบบการเล่น วิธีใหม่ ดังที่ผมตั้งโจทย์ไว้ได้จริง

ครับ “ปู่รอย” ชอบระบบ 4-2-3-1 และดูเหมือน แฮร์รี เคน จะตอบโจทย์หน้าเป้า ขณะที่ เวลเบ็ค, อัลลี หรือวาร์ดี้ ตอบชัดเจนในเรื่องความเร็ว และประสิทธิภาพในเกมรุปแบบฟุตบอลสมัยใหม่

นัดนี้ เคน ยิงได้อีกแล้ว, วาร์ดี้ ประเดิม 1 เม็ดเพียง 3 นาทีที่ได้ลงสนาม และดายเออร์ เล่นมิดฟิลด์ตัวรับเต็มเวลา 90 นาที และทำประตูได้เช่นกัน

โดยอย่างที่เรียนไว้ครับว่า ไม่มีใครทราบว่า “ความใหม่” นี้จะพาอังกฤษไปได้ไกลขนาดไหน

รู้เพียงแต่ว่า หากใช้วิธีเก่า รับรองไปไม่รอด

ดังนั้น ชัยชนะเกมนี้ จึงจัดว่า “ชื่นมื่น” ก่อนอีก 4 นัดที่เหลือเพื่อจะเดินทางไปเตะรอบสุดท้ายที่ฝรั่งเศสครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook