สกู๊ป : กล้าหาญและ "ศรัทธา" ใน "ซิเมโอเน่"

สกู๊ป : กล้าหาญและ "ศรัทธา" ใน "ซิเมโอเน่"

สกู๊ป : กล้าหาญและ "ศรัทธา" ใน "ซิเมโอเน่"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผมพูดได้เลยว่า ไม่ได้มีความ “สนใจ” จะชมเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายเลกสอง ระหว่าง แอตเลติโก มาดริด - บาร์เซโลน่า เมื่อหลังเที่ยงคืนวันพุธมากนัก

หรือคู่ เบนฟิก้า - บาเยิร์น มิวนิค ยิ่ง “เลิกพูด” ไปเลย

เพราะผมไม่คิดว่า “เจ้าบ้าน” ทั้ง แอต.มาดริด และเบนฟิก้า จะ “พลิกสถานการณ์” จากโจทย์ที่สกอร์ตามหลังในเลกแรกกลับมาชนะ “เข้ารอบ” ได้

แม้จะทราบดีก็ตามว่า เวทีแห่งนี้ไม่มีความแน่นอนใดๆก็ตามทีครับ

อย่างไรก็ดี หลัง “เผลอใจ” เปิดชมแมตช์จาก บิเซนเต้ กัลเดร่อน ได้สักพัก เอาล่ะสิ! ผมต้องหยุดใจไว้ที่หน้าจอจนจบ 90 นาที แบบเหลือเชื่อ

พร้อมๆกับอยากยืน “ปรบมือ” จากใจจริงให้ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ และลูกทีมกับผลงานสุดยอด “โบว์แดง” ครั้งนี้

ประเด็นที่เป็น “ไฮไลต์” ที่สุดสำหรับผมในฟุตบอลแมตช์นี้คือ ซิเมโอเน่ ทำอย่างไรให้ลูกทีม “ศรัทธา” และรักในตัวเค้าขนาดสามารถชี้ “นก” เป็น “ไม้” ได้

ครับ ผมกำลังหมายความว่า ทีมระดับ “ตราหมี” ที่ไม่เป็นรองใครในลา ลีกา หากไม่นับ บาร์เซโลน่า และเรอัล มาดริด ที่ก็ต่อกรกันได้ไหล่ชนไหล่

และเก่งกาจขนาดเข้ารอบตัดเชือก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ในซีซั่นนี้ หรือเพิ่งได้ “รองแชมป์” เมื่อ 2 ซีซั่นก่อน ที่ก็ปราบบาร์ซ่าในรอบนี้นี่แหละ

ทำไมจึงยอมเล่นรับ 10 คน แบบ “บอลรอง” สุดกู่โดยทิ้ง อ็องตวน กรีซม็อง ในแดนหน้าคนเดียวเพื่อสู้กับบาร์เซโลน่า ชนิดวิ่งกันลืมตาย!? ราวกับโลกจะไม่มีวันพรุ่งนี้!!!

แน่นอนครับว่า ซิเมโอเน่ และทีม รวมถึง “ผู้เล่น” คงได้ร่วมหารือกันแล้วว่า นี่คือ “วิธีเดียว” ในการรับมือทัพ “อาซูลกราน่า” แล้วจะสามารถเอาชนะได้

แต่ก็นั่นแหละครับ มันต้องใช้ระเบียบวินัย และ “หัวใจ” ที่แกร่งยิ่งกว่า “หินผา” ในการทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นจริงอย่างมี “ประสิทธิภาพ” ในสนาม

ที่สุดแล้ว แอตเลติโก มาดริด กับแฟนบอลในสนามประมาณ 55,000 คน ก็ได้ “รวมพลัง” และเป็นสักขีพยานร่วมกับชาวโลกในแมตช์ที่เห็นแชมป์เก่า บาร์เซโลน่า “ตกรอบ” 8 ทีมสุดท้ายอย่างไม่เป็นท่า

ผมใช้คำว่า “ไม่เป็นท่า” เพราะทั้งเกม บาร์เซโลน่า ไม่สามารถเล่นฟุตบอลในแบบตัวเองได้

คือไม่สามารถ “ต่อบอล” สร้างเกมให้ลื่นไหล และได้เห็นบอล “ทะลุช่อง” ตรงกลางเข้ากรอบเขตโทษ

ตรงกันข้าม ตลอด 90 นาที แทบจะนับครั้งได้ว่า คงไม่เกิน 5 ครั้ง ที่ หลุยส์ ซัวเรซ, เนย์มาร์ และ ลิโอเนล เมสซี่ มีโอกาสได้สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษของ แยน โอบลัค

ขณะที่บอลจังหวะสองก็แทบ “เก็บกิน” ไม่ได้ เพราะนักเตะตราหมี ไล่บี้ ไล่เพรสซิ่งเอาคืน แถมยัง “โต้กลับ” ได้อย่างกลัว

ผมคงไม่พูดถึง “จุดโทษ” ที่น่าจะเกิดขึ้นท้ายเกมหลังกัปตันทีม กาบี้ ไปทำแฮนด์บอลในเขตโทษ เพราะมันก็หายกันไปกับ อันเดรส อินิเอสต้า ทำแฮนด์บอลในเขตโทษแล้วไม่โดน “ใบแดง”

จังหวะดังกล่าวต้องชมเชย เฟลิเป้ หลุยส์ แบ็กซ้ายที่มาดับกับเชลซี แต่โดดเด่นทั้งรุกและรับในนัดนี้ที่ทะลุเติมขึ้นมา และนิ่งพอแตะผ่าน ฮาเวียร์ มาสเชราโน่ ที่โดยส่วนตัวผมมองว่า ควรตัดฟาวล์แล้วยอมเสียใบเหลือง

โมเมนต์นี้จึงเป็น “จุดเปลี่ยน” และตอกย้ำเกมรับมีปัญหาของบาร์ซ่า ที่พลาดง่ายๆ ให้คนตัวเล็กสุดคนหนึ่งในสนามอย่าง กรีซม็อง เขกประตูแรก และเคราร์ด ปีเก้ เติมสูงเพื่อทำประตูคืนจนโดนโต้ในจังหวะเสียจุดโทษ 2-0

สถิติการครองบอลประมาณ 30% ของเจ้าถิ่นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเกม แมนฯ ซิตี้ กับเปแอสเช ที่ทีมซึ่งครองบอลน้อยกว่าสามารถเก็บชัยชนะได้

นั่น “บ่งบอก” ครับว่า หากวางแท็กติกมาดี และผู้เล่น “ทุ่มเท” ตามคำบัญชาการของโค้ชด้วยฝีเท้าระดับแข้งอาชีพที่ตัวเองมีอยู่

ชัยชนะแบบนี้เกิดขึ้นได้ หรือเกือบทำได้ เช่น เบนฟิก้า หรือโวล์ฟสบวร์ก

หรือเลสเตอร์ (ว่าที่) แชมป์พรีเมียร์ลีก สมัยล่าสุด

ว่าแล้วก็ต้อง “ปรบมือ” ให้แอตเลติโก มาดริด อีกครั้งครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook