สูตรหยุด “Tikki-Taka” และ “ฟุตบอลสไตล์เป็ป”

สูตรหยุด “Tikki-Taka” และ “ฟุตบอลสไตล์เป็ป”

สูตรหยุด “Tikki-Taka” และ “ฟุตบอลสไตล์เป็ป”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ไม่มีข้อโต้แย้งใดใดสำหรับการเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของขุนพลตราหมี “แอตฯมาดริด” ในการเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอล “ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก” ฤดูกาลนี้ หลังจากที่ผ่านทีมเต็ง 1 ของรายการอย่างพี่เสือ “บาเยิร์น มิวนิค” ในรอบรองด้วยกฎอเวย์โกล์ 2-2

ในส่วนของรายละเอียดและรูปเกมไม่ต่างจากที่คาดไว้ตอนแรก ทั้งสองนัดเหย้าเยือนนักเตะพี่เสือครองบอลได้มากกว่า โอกาสยิงมากกว่าจากความได้เปรียบในเรื่องของระบบการเล่นที่ “ไหลลื่นกว่า” บอลเท้าสู่เท้า เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ตามสไตล์ของ “เป็ป กวาดิโอร่า” ซึ่งในทุกวันนี้แทบจะไม่มีทีมไหนหยุดอยู่

แต่ต้องให้เครดิต เอล โช่โล่ “ดิเอโก้ ซิเอโมเน่” ที่สามารถหยุดเจ้าตำรับ Tikki-Takka หรือบอลสไตล์นี้แบบต้นตำรับจริงๆเพราะเกมนี้เจอ “เป็ป” ก่อนหน้านี้ก็พาทีมผ่าน เอเลี่ยนทีม “บาร์เซโลน่า” ที่มีแรงเหวี่ยงและปรัชญาของเจ้าตัวทิ้งเอาไว้เหลืออยู่ ได้ถึงแม้จะไม่แนบเนียนแต่ก็เพียงพอที่จะเข้ารอบ

 ด้วยสไตล์ “อัดให้หนัก เข้าให้ขาด” และบีบพื้นที่ไม่ให้นักเตะ “บาเยิร์น” รวมทั้ง “บาร์ซ่า” ในรอบที่แล้ว มีเวลาครองบอลหรือมีพื้นที่ในการส่งบอลตามช่อง บวกกับแนวรับที่โค-ตร “เหนียวแน่น” จากการได้ “ดิเอโก้ โกดิน”มาประจำการ พร้อมทั้งการโชว์เซฟของ “แยน โอบลัค” ผู้รักษาประตูประจำทีม


โดยเฉพาะเกมเมื่อวันอังคาร ถึง 9 ครั้งในเกมเดียว ทำลายสถิติผู้รักษาประตูของทีมที่เซฟมาที่สุดในฟุตบอลรายการนี้เรียบร้อยแล้ว

สำหรับเกมรุกเองต้องชมทั้ง “เฟร์นานโด ตอร์เรส” กับ “อ็องตวน กรีซมันน์” ที่สามารถเปลี่ยนโอกาสเพียงน้อยนิดเป็นประตู “อเวย์โกล” เข้ารอบได้ ยิ่งรายแรกไม่น่าเชื่อว่าจะกลับมา “เก่ง” อีกครั้งหลังจากถูกมองว่าเป็น “ตอไม้” จากความล้มเหลวกับ “เชลซี” กับ “เอซี มิลาน”  

รอบที่แล้วที่ผ่านมา “บาร์ซ่า”เวอร์ชั่นผสมระหว่าง “เป็ปสไตล์” กับ “ความสามารถเฉพาะตัว” ของแก็งส์ “เอ็มเอสเอ็น” ที่มี “เมสซี่” “ซัวเรซ” และ “เนย์มาร์”  ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีใครเชื่อว่าจะมีแนวรับทีมไหนในโลก “หยุด” ได้ แต่ “เอล โชโล่” และลูกทีมทำได้

แน่นอนว่า “จุดเปลี่ยน” ที่ทุกคนต้องพูดถึงในเกมวันอังคารคือจังหวะยิงจุดโทษพลาดของ “โธมัส มุลเลอร์” ซึ่งตอนนั้นทีมนำอยู่ลูกเดียว ถ้ายิงได้จะเป็นสกอร์ 2-0 แต่ต้องอย่าลืมว่าถึงลูกนั้นจะยิงเข้าไป บรรดานักเตะตราหมีก็ต้องบุกใส่บ้างเหมือนช่วงต้นครึ่งหลังเพื่อเอา “อเวย์โกล” เหมือนกัน

เกมนี้ภาพรวมของ “บาเยิร์น” เองก็ไม่ได้แย่ ยกเว้นแค่แนวรุกที่ใช้โอกาสกันเปลืองไปหน่อยซึ่งพอยิงเค้าไม่ได้และมาถูกยิงก็เลยต้องตกรอบ บางทีถ้าไม่ได้มีกฎ “อเวย์โกล” มาใช้ ผลการแข่งขันในรอบนี้อาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้   

                     
อย่างไรก็ตามการผ่านทีม “เต็ง 1” ทั้ง 2 รอบเข้ามาถือว่าไม่ใช่ “โชคช่วย” หรือ “ฟลุก” อย่างแน่นอน เพราะต้องลงสนามรอบละ 2 นัด

ถึงแม้ว่าจะดูไม่สวยงามหรือดูไม่สนุกจนบางครั้งถูกเรียกว่า “Anti-Football” หรือ “Ugly Football” ที่น่าเกลียด ไม่ได้สู้กันแบบ “แลกกันตรงๆ” (แน่นอนละถ้าเปิดเกมรุกแลกกัน ตราหมีคงไม่ชนะและมาถึงรอบชิงได้หรอก)

ดังนั้นคำถามที่จะหยุด “เป็ปสไตล์” หรือ “Tikki-Takka” ของแท้ (ไม่ใช่ของปลอมทำเหมือนแบบบางทีมที่เป็นรูปสัตว์ปีกสีแดงในประเทศเป็นเกาะในยุโรปกับกุนซือคนก่อน) ก็น่าจะได้คำตอบที่ชัดเจนแล้วว่า ต้องมาด้วยสูตรของ “ซิเอโมเน่” และทรัพยากรบุคคลที่เหมือนทีม “แอตฯมาดริด” ตอนนี้

สุดท้ายเมื่อ 4 ปีที่แล้วในยุคทองของ “เป็ป” เค้าคือกุนซือที่ “เก่งที่สุดในโลก” แต่ปัจจุบันคงต้องยอมรับว่า “ดิเอโก้ ซิเอโมเน่” คือโค้ชที่เก่งที่สุดในโลกครับ


โดย แบงค์ พิพัช

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook