สกู๊ป : "เลอ กลาซิโก้"...ที่ไม่น่าจดจำ

สกู๊ป : "เลอ กลาซิโก้"...ที่ไม่น่าจดจำ

สกู๊ป : "เลอ กลาซิโก้"...ที่ไม่น่าจดจำ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปฏิทินลูกหนังถึงคราวเวียนผ่านไปอีกหนึ่งฤดูกาล แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวต่างๆ บนแผ่นดินฝรั่งเศส จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เมื่อ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ยังครองอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว

นับตั้งแต่ได้อำนาจทางการเงินของ Qatar Sports Investments มาอยู่ในกำมือ โลกทั้งใบก็กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับเปแอสเช เมื่อยุคนี้ไม่มีใครปฏิเสธว่า “เงิน” สามารถซื้อความสำเร็จได้

ไม่เชื่อลองย้อนกลับไปดูผลงานของกลุ่มทุนจากกาตาร์ ที่นำโดย นาสเซอร์ อัล-เคไลฟี่ คุณจะพบว่าศักยภาพของเปแอสเช มีแต่จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คู่แข่งแย่งแชมป์ลีกกลับลดประสิทธิภาพลง

นั่นเป็นเพราะด้วยอำนาจทางการเงินที่เปแอสเชมี พวกเขาไม่จำเป็นหรือจำใจต้องขายผู้เล่นตัวหลักออกจากทีม ผิดกับโมนาโก หรือโอลิมปิก ลียง ที่นอกจากจะปวดหัวกับการมองหาแข้งฝีเท้าดีราคาถูก ยังต้องห่วงหน้าพะวงหลังว่าจะโดนฉกสตาร์ดังไปจากอ้อมอกเมื่อไร

ไม่เชื่อลองไปถาม โอลิมปิก มาร์กเซย ดูสิ ผมเชื่อว่าพวกเขารู้ซึ้งและตระหนักถึงเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ทราบว่าทุกวันนี้สาวก “โอแอม” ยังจะคงยืดอกภาคภูมิใจกับอดีตอันยิ่งใหญ่ได้หรือไม่ ในเมื่อกลายสภาพจากราชา เป็นเพียงลูกไล่ปลายแถว

หาก เปแอสเช คือความภาคภูมิใจของวงการลูกหนังฝรั่งเศสในยุคปัจจุบัน มาร์กเซยก็เปรียบเสมือนภาพความทรงจำที่ยิ่งใหญ่ในอดีต และสามารถสร้างรอยยิ้มได้เสมอยามถูกหยิบยกมาพูดถึง

แต่แล้วยังไงละ จะแชมป์ลีก เอิง, เฟรนช์ คัพ, เฟรนช์ ลีก คัพ, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรืออินเตอร์ โตโต้ คัพ ที่เคยบากบั่นนำมาประดับตู้โชว์สโมสร ถึงวันนี้พวกเขาทำได้แค่เพียงเฝ้ารอคอยความสำเร็จที่ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร


อาจใช่ที่หลายปีหลังพวกเขายังมีแชมป์บอลถ้วยคอยปลอบประโลมหัวใจ แต่เห็นได้ชัดว่านั่นไม่เพียงพอ เมื่อเสียงคำรามจากแฟนบอลยังคงดังต่อเนื่อง และดูท่าว่าจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อประธานสโมสรอย่าง แว็งซองต์ ลาบรูน ไม่อาจหาทางออกได้

อย่าว่าแต่จะหากุนซือฝีมือดีเข้ามาทำทีมเป็นการถาวรในซีซั่นหน้าเลย แค่ช่วงซัมเมอร์นี้พวกเขาก็เตรียมตัวกล่าวคำอำลากับดาวเตะหลายต่อหลายราย หนึ่งในนั้นคือ สตีฟ ม็องด็องด้า ผู้รักษาประตูกัปตันทีมที่รับใช้สโมสรมานานเกือบ 10 ปี

เช่นเดียวกับตัวหลักรายอื่นอย่าง ลาสซาน่า ดียาร์ร่า, นิโกล่าส์ เอ็นกูลู, มิชี่ บาตชัวยี่ รวมไปถึง ฆาเบียร์ มานกีโญ่, ลูคัส ซิลวา, สตีเว่น เฟล็ทเชอร์, เมาริซิโอ อิสล่า, เปาโล เด เชเญ่ และ ฟลอรีย็อง โตแว็ง ที่กำลังจะหมดสัญญายืมตัวช่วงซัมเมอร์นี้

ดังนั้นทางเดียวที่จะสามารถประคับประคองสถานะของสโมสรให้คงไว้ในฐานะผู้ท้าชิงแชมป์ ย่อมหมายถึงตั๋วไปลุยฟุตบอลรายการยุโรป ซึ่งสามารถดึงดูดใจบรรดาแข้งเกรด เอ ให้ยอมพลีกายถวายตัว

นั่นทำให้ นัดชิงชนะเลิศ เฟรนช์ คัพ 2015/16 เปรียบเสมือนโอกาสครั้งสำคัญที่ มาร์กเซย จะได้ต่อลมหายใจออกไป ซึ่งช่างบังเอิญเหลือเกินว่าคู่ต่อกรในปีนี้ คือคู่รักคู่แค้นอย่าง เปแอสเช

แน่นอนว่าหากพูดกันตามหน้าเสื่อจากผลงานและศักยภาพทีมแล้ว เปแอสเช ของ โลร็องต์ บล็องก์ คือเต็งแชมป์อย่างไม่ต้องสงสัย แถมฟอร์มการเล่นของนักเตะก็กำลังเข้าฝัก เดินหน้าไล่ถล่มคู่แข่งเป็นว่าเล่น

ผิดกับ มาร์กเซย ที่ฤดูกาลนี้เปรียบเสมือนหายนะ เพราะแทบไม่มีใครเชื่อว่าพวกเขาต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นช่วงโค้งสุดท้าย แม้เอาตัวรอดมาได้ แต่อันดับ 13 บนตาราง ก็เพียงพอต่อการจารึกชื่อเป็นหนึ่งในผลงานที่แย่ที่สุดในรอบ 16 ปี

การแสดงออกถึงความโกรธเคืองของแฟนบอลจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เมื่อเห็นได้ชัดว่า ลาบรูน เพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนจากกลุ่มบุคคลที่คร่ำหวอดกับสโมสรและให้การสนับสนุนมาอย่างยาวนาน


จาก มาร์เซโล่ บิเอลซ่า เรื่อยมาจนถึง มิเชล และกุนซือรักษาการณ์อย่าง ฟรองก์ ปาสซี่ เห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจของ ลาบรูน มีแต่ความผิดพลาดเยอะแยะเต็มไปหมด เอาแค่กรณีของ บิเอลซ่า ก็แทบไม่รู้ว่าจะไถ่โทษให้แฟนบอลอย่างไรไหว

สิ่งเดียวที่พอจะทำได้ จึงเป็นการคว้าแชมป์เฟรนช์ คัพ เพื่อเป็นใบเบิกทางไปสู่การลงเตะฟุตบอลยูโรป้า ลีก ในฤดูกาลหน้า และเริ่มต้นสร้างทีมใหม่อีกครั้ง มิเช่นนั้นครานี้อาจถึงคราวถอยหลังลงคลองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นั่นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เราจะได้เห็นขุนพลมาร์กเซย มุ่งมั่นเป็นพิเศษในเกมที่สต๊าด เดอ ฟรองช์ แถมคู่ต่อกรเป็น เปแอสเช ความเข้มข้นยิ่งทวีความรุนแรง เพราะนอกจากความสำเร็จแล้ว ยังมีศักดิ์ศรีค้ำคออยู่

ทว่าเริ่มเกมมาเพียง 2 นาที เปแอสเช ก็แสดงให้เห็นว่าวันนี้แตกต่างจากวันวานอย่างไร และใครคือผู้กุมชะตาชีวิตของอีกฝั่ง เมื่อพังประตูออกนำ 1-0 ตั้งแต่ไก่โห่ จากห้องเครื่องจอมขยันอย่าง แบลส มาตุยดี้

แต่ มาร์กเซย ก็ตอบสนองจากเสียงดูถูกเหยียดหยามได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อใช้เวลาแค่ 10 นาที ตามตีเสมอได้สำเร็จจาก ฟลอรีย็อง โตแว็ง และมีโอกาสหลายต่อหลายครั้งหลังจากนั้นที่เปลี่ยนสถานะของตัวเองเป็นผู้นำ ทว่ากลับไร้ซึ่งความเฉียบขาด ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีแน่นอนยามที่คู่แข่งคือ เปแอสเช

สุดท้ายสิ่งที่ทุกคนกลัวก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อ มาร์กเซย ไม่ได้จดจำบทเรียนจากครึ่งเวลาแรก เมื่อพลาดเสียประตูจากลูกจุดโทษหลังเริ่มครึ่งหลังไปแค่ 2 นาที หลัง เอ็นกูลู ไปเข้าบอลพรวดพราดทำฟาวล์ มาตุยดี้

วินาทีนั้นสีหน้าของ ปาสซี่ หรือแม้แต่ดาวเตะระดับตำนานอย่าง อเบดี เปเล่ ที่เดินทางเข้ามาชมเกมนี้ สามารถบ่งบอกถึงสถานการณ์ที่พวกเขากำลังเผชิญได้เป็นอย่างดี สุดท้าย มาร์กเซย โดนความเฉียบขาดของเปแอสเช บวกสกอร์เพิ่มเป็น 4-1 แม้ได้ บาตชัวยี่ ยิงไล่มาช่วงท้ายเกม แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรในค่ำคืนอันแสนเศร้านี้ได้


โดยนอกจากการยกแชมป์เฟรนช์ คัพ สมัยที่ 10 ให้เปแอสเช ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเทียบเท่ากับที่พวกเขาเคยทำไว้ มาร์กเซยยังต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าพวกเขาจะไม่ได้ตั๋วไปลุยยุโรปในฤดูกาลหน้า อันมีนัยสำคัญถึงหายนะที่รออยู่

กลับกันเมื่อเหลือบตามองไปยังคู่รักคู่แค้นอย่างเปแอสเช ซึ่งกำลังเปิดแชมเปญฉลองการกวาด 4 แชมป์ เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ยิ่งชวนให้คิดอิจฉาริษยา เพราะดูท่าทีแล้ว อาณาจักรที่ปาร์ก เดส์ แพร็งส์ คงไม่ล่มสลายในเร็ววัน

แม้ซีซั่นหน้า โลร็องต์ บล็องก์ จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน เมื่อชายที่มีอิทธิพลมากที่สุดในสนามอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ขอโบกมือลาไปหาความท้าทายใหม่ แต่อย่างน้อยๆ สาวก “ปารีเซียงส์” ทุกหมู่เหล่ายังคงสามารถสนทนาด้วยความครื้นเครงถึงการเข้ามาของตำนานบทใหม่

ไม่เหมือนอาณาจักรอันเงียบเหงาอย่างสต๊าด เวโลโดรม ซึ่งดูท่าว่าซีซั่นหน้าบรรยากาศจะเย็นยะเยือกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook