"อนาคตของสิงโตคำราม"

"อนาคตของสิงโตคำราม"

"อนาคตของสิงโตคำราม"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากล้มเหลวไม่เป็นท่าด้วยการตกรอบแบ่งกลุ่มในฟุตบอลโลก 2014 อังกฤษก็ต้องชอกช้ำอีกครั้งกับการตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึกยูโร 2016 ไปแบบที่โดนทั้งโลกล้อเลียนกันสนุกปาก

เพราะหลังจากเพิ่งมีกระแส Brexit จากผลการลงประชามติที่จะขอออกจากสหภาพยุโรป (EU) ไปได้แค่ไม่กี่วัน การต้องหลุดวงโคจรของการลุ้นแชมป์ยูโรครั้งนี้ไปอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้มีการแซวกันว่าภายในเวลาแค่ 4 วัน อังกฤษออกจากยุโรปถึง 2 ครั้ง

แต่ที่ต่างกันคือครั้งนี้อังกฤษไม่ได้สมัครใจที่จะออกมาเองแต่ประการใด เพียงแต่ไม่ดีพอที่จะได้ร่วมวงต่อเท่านั้น และการถูกเขี่ยหลุดวงโคจรด้วยน้ำมือของทีมเล็ก ๆ อย่างไอซ์แลนด์ ก็เกินพอที่จะทำให้แอนตี้แฟนของสิงโตคำรามสะใจกันไปเป็นพิเศษ

และแม้แต่แฟนบอลอังกฤษพันธุ์แท้ก็ต้องยอมรับว่าทีมของพวกเขาไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่าคู่ควรกับการจะผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย เมื่อดาวดังทั้งหลายต่างไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้สมราคาเลยแม้แต่น้อย

หนำซ้ำการวางแผน, การจัดตัว และการแก้เกมของผู้จัดการทีมอย่างรอย ฮ็อดจ์สัน ก็ยิ่งตอกย้ำถึงความไม่เอาไหนอย่างแท้จริงของทีมพี่ใหญ่จากสหราชอาณาจักรทีมนี้

ความคาดหวังที่ถูกตั้งไว้สูงอีกครั้งกับชื่อชั้นและผลงานของนักแตะอังกฤษที่ได้ร่วมทัพไปในครั้งนี้ ยังคงลงเอยแบบเดิม ๆ ไม่ต่างกับที่ตกรอบแรกของฟุตบอลโลกที่บราซิลเมื่อ 2 ปีก่อน ที่สิงโตคำรามต้องกลับมาหลบเลียแผลใจที่ยับเยินอยู่พักใหญ่

ย้อนหลังไปเมื่อ 4 ปีก่อนในยูโร 2012 อังกฤษที่แต่งตั้งฮ็อดจ์สันเข้ามาคุมทีมลงเตะรอบสุดท้ายแบบเร่งด่วนหลังการลาออกของฟาบิโอ คาเปลโล่ ถือว่าสอบผ่านไปได้แบบคาบลูกคาบดอก

เพราะถึงแม้อังกฤษจะตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยการแพ้ดวลจุดโทษต่ออิตาลี แต่ก็ถือว่าเล่นกันได้ดี แม้จะยังล้างอาถรรพณ์เรื่องการยิงจุดโทษไม่ได้ ขณะที่ผลงานการเสมอฝรั่งเศส และชนะสวีเดนกับยูเครนได้ในรอบแรกก็อยู่ในระดับที่ถือว่าน่าพอใจ

ครั้งนั้นฮ็อดจ์สันเลือกที่จะใช้ระบบ 4-4-2 หรือ 4-4-1-1 โดยมีแดนนี่ เวลเบ๊คยืนศูนย์หน้าตัวเป้า และเวย์น รูนี่ย์ยืนเป็นหน้าต่ำ แต่เมื่อมาถึงฟุตบอลโลก 2014 ปู่รอยก็ปรับมาใช้แผน 4-2-3-1 แทน

โดยครั้งนี้มีแดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์แป็นตัวหลักในตำแหน่งศูนย์หน้า ส่วนเวลเบ๊คถูกจับไปเป็นตัวริมเส้น ขณะที่รูนี่ย์กับราฮีม สเตอร์ลิ่งถูกสลับกันเล่นในตำแหน่งปีกอีกฝั่งและเพลย์เมกแกอร์

แต่ผลงานของอังกฤษใน 2 นัดแรกของศึกบราซิล 2014 คือการแพ้ต่ออิตาลีและอุรุกวัย ทำให้ตกรอบแรกไปตั้งแต่ยังไม่เตะนัดที่ 3 และฮ็อดจ์สันก็เลือกที่จะส่งนักเตะสำรองลงไปหาประสบการณ์แทนในเกมสุดท้าย

ซึ่งลงเอยด้วยการเสมอกับคอสตาริกาไปแบบโนสกอร์

ปู่รอยยังคงนำอังกฤษสร้างผลงานได้ดีในการลงตะรอบคัดเลือกอีกครั้ง ไม่ต่างกับในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2014 ที่ไม่แพ้เลยใน 10 นัด และคราวนี้ก็ทำได้สวยหรูกว่าเดิมอีกขั้น ด้วยสถิติชนะ 10 นัดรวดในรอบคัดเลือกยูโร 2016

แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ กันว่ายูโรครั้งนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นมากนักในรอบคัดเลือก เพราะเอาทีมผ่านข้ารอบถึง 23 จาก 53 ทีมที่ลงเตะ เพื่อไปรวมกับเจ้าภาพฝรั่งเศสให้ครบ 24 ทีม ซึ่งเป็นการเพิ่มจำนวนขึ้นมาจาก 16 ทีมเป็นครั้งแรก

การชนะทีมอย่างสโลวีเนีย, เอสโตเนีย, ลิทัวเนีย หรือซาน มารีโนได้จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าจะฮึกเหิมลำพองใจแต่อย่างใด เพราะในรอบคัดเลือกของอังกฤษนั้น คงมีเพียงสวิตเซอร์แลนด์ทีมเดียวที่ถือเป็นคู่ปรับที่พอสมน้ำสมเนื้อหน่อย

แต่ไม่ว่าจะทำผลงานได้ดีแค่ไหนในรอบคัดเลือก หรือจะชนะรัว ๆ เหนือทีมน้อยใหญ่ได้ในเกมอุ่นเครื่อง แต่ทุกทีมจะถูกตัดสินด้วยผลงานในสนามเมื่อลงแข่งขันจริงในรอบสุดท้าย และอังกฤษก็ถือว่าสอบตกตั้งแต่รอบแบงกลุ่ม

เมื่อทำได้แค่เสมอรัสเซียและสโลวาเกีย และเฉือนชนะเวลส์ไปได้ในนาทีสุดท้ายแบบเฮงๆ

การต้องมาชนกับไอซ์แลนด์แทนที่จะเป็นโปรตุเกสในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งทำให้ใครๆ ก็คิดว่าอังกฤษโชคดี สุดท้ายกลับลงเอยด้วยหายนะที่น่าขายหน้า จนหลายคนยกให้เกมนี้เป็นฟอร์มการเล่นที่แย่ที่สุดตลอดกาลนัดหนึ่งของอังกฤษไปเลย

เรื่องดี ๆ อย่างเดียวที่เกิดขึ้นหลังจบเกมกับไอซ์แลนด์ก็คือการลาออกของฮ็อดจ์สัน แต่เรื่องยากๆ ที่รออยู่สำหรับอังกฤษก็คือการมองหาว่าใครดีพอที่จะเข้ามารับตำแหน่งต่อจากเขา

เพราะรายชื่อตัวเต็งอย่างแกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชุดยู 21 คนปัจจุบัน ก็ทำให้แฟนๆ ยังต้องเหลือบตามองบนแบบแรงๆ เหมือนเดิมว่านี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วหรือ

ผลงานของเซาธ์เกตในการคุมทีมสิงโตจูนียร์มาตั้งแต่ปี 2013 ก็มีเพียงการพาทีมไปเตะชิงแชมป์ยูโร 2015 ของทีมชุดยู 21ได้ แต่ตกรอบแรกไปเท่านั้น

ตัวเลือกอื่นๆ ที่เป็นผู้จัดการทีมชาวอังกฤษที่ถูกสื่อจับตาไว้อย่างอลัน พาร์ดิว ผู้จัดการทีมคริสตัล พาเลซ, แซม อัลลาร์ไดซ์

ผู้จัดการทีมซันเดอร์แลนด์, เอ๊ดดี้ ฮาว ผู้จัดการทีมบอร์นมัธ หรือแกรี่ เนวิลล์ ผู้ช่วยของฮ็อดจ์สันก็คงไม่ได้ทำให้แฟนๆ รู้สึกอุ่นใจขึ้นซักเท่าไหร่

หรืออังกฤษจะต้องกลับไปพึ่งพาผู้จัดการทีมต่างชาติอีกครั้ง ก็มีตัวเลือกที่ถูกเก็งไว้อย่างเยอร์เก้น คลินน์มันน์ โค้ชทีมชาติสหรัฐฯ ที่เก้าอี้เริ่มง่อนแง่น หรือจะเป็นราฟา เบนิเตซที่เพิ่งคุมนิวคาสเซิลตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก

และแม้แต่ชื่อของอาร์แซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีมอมตะของอาร์เซนอล ก็ยังถูกพูดถึง

ทั้งหมดทั้งปวงคือการบ้านที่ทาง FA จะต้องไปหาคำตอบที่ดีที่สุดให้ได้ก่อน ก่อนจะเริ่มมาตั้งเป้าหมายกันใหม่กับฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย เพราะถ้ายังเริ่มต้นได้ไม่ดีพอ ก็คงหนีไม่พ้นต้องล้มเหลวซ้ำซากเหมือนเคย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook