สกู๊ป : "มังกรแดง" แรงฤทธิ์!

สกู๊ป : "มังกรแดง" แรงฤทธิ์!

สกู๊ป : "มังกรแดง" แรงฤทธิ์!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นี่คืออีก 1 แมตช์ที่ “ฟุตบอล” ฉายภาพด้านที่สวยงามที่สุดของมันออกมา!

ขุนพล “มังกรแดง” เวลส์ แสดงให้ชาวโลกทุกคนเห็นครับว่า ฟุตบอลที่เล่นกันเป็นทีมทั้ง “รุก” และ “รับ” ด้วยระบบที่เหมาะสมสามารถเอาชนะใครก็ได้ในโลก

แน่นอนครับ เรื่อง “คุณภาพ” ก็สำคัญ แต่ทว่าไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดดังที่เราได้เห็นกัน ชัดเจนว่าทีมอันดับ 1 ของยุโรปใน “ฟีฟ่า เวิลด์ แรงกิ้ง” อย่าง เบลเยียม แพ้จริงๆในเกมนี้ให้กับเวลส์

คู่นี้ จริงๆแล้วอยู่ในสายเดียวกันรอบแบ่งกลุ่มที่ลูกทีม คริส โคลแมน ไม่ได้แพ้ เพราะเสมอ 0-0 ที่บรัสเซลส์ ก่อนจะมาชนะ 1-0 ในบ้านตัวเอง

เกมนี้แม้จะเป็นรอง และออกสตาร์ตไม่ดีก่อนจะ “เสียท่า” ให้ รัดย่า นาอิงโกลัน มีเวลากดไกล 25 หลาทะลุตาข่าย เวย์น เฮนเนสซี่ นาทีที่ 13

ทัพเวลส์ กลับไม่ได้เสียกำลังใจ หนำซ้ำยังสามารถค่อยๆสร้างเกม และควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ตลอดครึ่งแรกด้วยระบบ 3-5-2 ที่ลงตัวมากๆ

กล่าวคือ เวลารับจะเสมือนมีอย่างน้อย 6 คน ไล่ตั้งแต่ นีล เทย์เลอร์ (วิงแบ็คซ้าย), เบน เดวีส์, แอชลีย์ วิลเลียมส์, เจมส์ เชสเตอร์ (3 เซนเตอร์ฮาล์ฟ) และคริส กันเทอร์ (วิงแบ็คขวา) โดยมี โจ เลดลีย์ เป็นกลางรับ

มากกว่านั้น โจ อัลเลน ยังส่ายตลอด แต่เน้นรับ ปล่อยให้กลางคนสุดท้าย แอรอน แรมซีย์ มีอิสระในการเคลื่อนที่โดยใช้ ฮัล ร็อบสัน-คานู เป็นกองหน้าตัวค้ำคอยเก็บบอล ขณะที่แกเร็ธ เบล ก็อิสระหน้าต่ำ

ดังจะเห็นได้จาก “ฟอร์เมชั่น” ว่า ยามรุกพวกเค้าจะมีอย่างน้อย 3 คนคือ แรมซีย์, เบล และคานู ทว่าส่วนใหญ่จะได้วิงแบ็คคอยเติมสุดตลอด ทำให้จะมีตัวผู้เล่นแนวรุก 3-4 คนในยามโต้กลับ

ขณะที่ตอนไล่ทวงประตูตีเสมอ และตลอดครึ่งแรก พวกเค้าก็พร้อมดันเกมรุกสูงเติมตัวผู้เล่นมากขึ้นไปอีกสู่แดนเบลเยียม และมีโอกาสมากกว่าจากจังหวะเตะคอร์เนอร์ที่ วิลเลี่ยมส์ เขกเข้าไปนาทีที่ 31 ด้วยครับ

การเล่นเพรสซิ่ง และไล่บอลหนักทั้งทีมที่ไม่ปล่อยโอกาสให้คู่ต่อสู้เล่นง่ายๆ และลดบทบาทการทำประตูคู่แข่งจากหลังไลน์แนวรับ แต่ต้องไปลุ้นยิงไกล

ทั้งหมดคือความ “ดีงาม” และ “ลงตัว” ของเวลส์ชุด “ยูโร 2016” นะครับ

อย่างไรก็ดี เวลส์จะประสบความสำเร็จขนาดชนะได้ถึง 3-1 ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายไม่ได้เลย หากไม่ใช่เพราะเบลเยียมมี “จุดอ่อน” ในเกมรับที่ยิ่งมาอาการหนักขึ้นในนัดนี้ซึ่งเหลือเพียง โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ เป็นตัวหลักคนเดียว

นอกนั้นตั้งแต่ แวงซองต์ กอมปานี (เจ็บจนไม่ได้มา) หรือโธมัส แฟร์มาเล่น (แบน), แยน แฟร์ทองเกน (เอ็นข้อเท้าฉีกตอนซ้อม) จนโธมัส มูนิเยร์, เจสัน เดนาเยอร์ และชอร์ด็อง ลูคาคู ที่ไม่เคยเล่นด้วยกันต้องลงมาแทน

อย่างไรก็ดีครับ ปัญหาไม่ได้มีแค่ ชอร์ด็อง ลูคาคู รักษาตำแหน่งแบ็คซ้ายไม่ดี หรือการอ่อนประสบการณ์เท่านั้น

แต่ “ทั้งทีม” ซึ่งเรียกว่า การเล่นรับเป็นทีมนั้นไม่มี

เช่น การวิ่งฉีกไปรับบอลจากเบลของ แรมซีย์ ไม่มีใครตาม ก่อนแรมซีย์จะเปิดเข้ากลางให้ ร็อบสัน-คานู พลิกหลบแนวรับพร้อมๆกัน 3 คน และหลอกคนทั้งโลกสนิท เพราะคิดว่าจะเปิดคืนให้เทย์เลอร์

นาทีที่ 55 ดังกล่าว เป็นจุดเริ่มสร้างประวัติศาสตร์อีกขั้นให้กับเวลส์ และต้องชื่นชมร็อบสัน-คานู ที่สังหารผ่าน ติโบต์ กูร์กตัวส์ อย่างมั่นใจในเกมที่เล่นได้ดีมาก และพิสูจน์ให้เห็นว่า เวลส์ไม่ได้มีแค่เบล

ประตูตอกฝาโลง 3-1 นาทีที่ 86 จากกันเทอร์เปิดเข้ามาให้ตัวรอง แซม โวคส์ โขกเข้าไปก็เช่นกันที่การประกบบกพร่อง

หรือเล็กๆน้อยๆ ที่นักเตะเวลส์ วิ่งรับบอล ส่งบอล ต่อบอล ได้แบบมีพื้นที่ตลอดเกม หรือจังหวะ “สอนบอล” กระดกข้ามศีรษะ แล้วยังมาม้วนหลอก เควิน เดอ บรอยน์ ของเบล นาทีที่ 88 ที่ “ตอกย้ำ” ชัดว่า เบลเยียมแพ้จริงทุกๆด้าน

เฉพาะอย่างยิ่ง “เกมรุก” ที่น่าผิดหวัง และไม่สามารถเยียวยาช่วยเกมรับได้ดีพอไม่ว่าจะ ยองนิค คาร์รัสโก้ (ครึ่งแรก), มารูยาน เฟลไลนี่ (ครึ่งหลัง), เดอ บรอยน์, เอแดง อาซาร์ และโรเมลู ลูคาคู โดยมี รัดย่า นาอิงโกลัน และอักเซล วิทเซิล ขับเคลื่อน

ส่วนตัว ผมตั้งคำถามแค่ว่า การเล่น “เป็นทีม” ไม่ว่าจะรับ หรือรุก และแท็คติกต่างๆ ที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม

มาร์ค วิลม็อตส์ ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ขณะที่ตัวผู้เล่นเองไม่สามารถเอาชนะความกดดัน และสถานการณ์ยากๆได้

ตรงกันข้ามกับเวลส์ที่ได้ “พิสูจน์” อีกครั้งประจักษ์กับตาว่า “ดีพอ” จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook