แอกเกอร์ : "หวังว่าเรื่องของผมจะเป็นอุทาหรณ์ให้ทุกคน"

แอกเกอร์ : "หวังว่าเรื่องของผมจะเป็นอุทาหรณ์ให้ทุกคน"

แอกเกอร์ : "หวังว่าเรื่องของผมจะเป็นอุทาหรณ์ให้ทุกคน"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สิ่งแรกที่ ดาเนี่ยล แอกเกอร์ จำได้เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาคือการที่เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรตรงไหนเพียงแต่ตัวของเขานั้นมันสั่นจนไม่สามารถควบคุมได้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของจุดจบ

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2015 ในเกมที่ บรอนด์บี้ พบกับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง เอฟซี โคเปนเฮเกน ในเกมลีกเดนมาร์ก วันนั้น แอกเกอร์ ลงสนามได้เพียง 29 นาทีเท่านั้น

ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม และถูกนำตัวไปพบแพทย์เป็นการด่วนหลังจากนั้นไม่นาน

ความจริงเขาไม่ควรจะได้ลงสนามในเกมนั้นไม่ว่ามันจะสำคัญขนาดไหนก็ตาม เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อหน้านั้นเขาได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่มันก็เหมือนกับทุกครั้งที่เขาได้รับบาดเจ็บ

เขามักจะทานยาแก้อักเสบเป็นประจำ และในปริมาณที่มากกว่าที่มีการแนะนำ และเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ร่างกายได้วิงวอนขอร้องต่อเขาว่าขอให้หยุดเสียที

เรื่องราวนี้ไม่มีใครเคยได้รู้มาก่อน จนกระทั่งตอนนี้ที่แอกเกอร์ กลายเป็นอดีตนักเตะไปแล้ว หลังประกาศอำลาวงการด้วยวัย 31 ปีเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางคำถามของแฟนบอลมากมาย

โดยเฉพาะแฟนลิเวอร์พูลที่อยากเห็น แอกเกอร์ กลับมาสู่แอนฟิลด์อีกครั้ง และไม่อยากเชื่อว่าเขาจะประกาศเลิกเล่นไวขนาดนี้

แอกเกอร์ เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดให้แก่ ยิลแลนด์ส-โพสเทน หนังสือพิมพ์ในเดนมาร์กเกี่ยวกับช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับชีวิตการเล่นและสิ่งที่เขากระทำการเพื่อบังคับขืนร่างกายตัวเองให้ทำงานว่าโหดร้ายแค่ไหน

แม้จะมีวัยเพียง 31 ปี แต่สภาพร่างกายของเขานั้นย่ำแย่เกินกว่าจะใช้ชีวิตในฐานะนักฟุตบอล และอาจต้องบอกว่าถึงจะแค่การใช้ชีวิตในฐานะคนธรรมดาก็ยังน่าเป็นห่วงด้วยซ้ำ

แอกเกอร์ ปวดหลังตลอดเวลาและเขาเล่นได้เพียงแค่ 70% หรือ 80% ที่เขาทำได้แค่นั้นในช่วง 2 ฤดูกาลสุดท้ายกับลิเวอร์พูล และทุกอย่างแย่ลงเรื่อยๆในการเล่นให้กับ บรอนด์บี้

ปัญหาหลักของ แอกเกอร์ คือการที่เขาเป็นคนที่ข้อหลวม และนั่นทำให้ข้อต่อต่างๆในร่างกายนั้นยืดกว่าที่ควรจะเป็น โดยร่างกายนั้นเริ่มส่งสัญญาณเตือนให้แก่เขาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2007

ก่อนที่อาการจะรุนแรงขึ้นอีกในช่วงการเดินทางมาพรีซีซั่นที่ไทยในปี 2008

เขายังมีอาการหมอนรองกระดูกเลื่อน ซึ่งนำไปสู่ความเจ็บปวดที่เข่าและเท้าด้วย ดังนั้นเพื่อให้สามารถลงสนามได้เขาจึงต้องทานยาแก้อักเสบ ซึ่งปกติแล้วจะใช้สำหรับการบำบัดโรคปวดไขข้อ

และใช้ยาหนักขึ้นเรื่อยๆจนเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว และเริ่มจะเป็นอันตราย

“ผมใช้ยาแก้อักเสบมามากเกินไปตลอดชีวิตการเล่นของผม” แอกเกอร์กล่าว “ผมรู้จักมันดีและผมก็ติดมันหนักมาก แต่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องหยุดใช้มัน ผมไม่ได้อะไรจากการพูดเรื่องนี้ เพียงแต่หวังว่าเรื่องของผมจะทำให้นักกีฬาคนอื่นหยุดใช้ยาพวกนี้ หรือทานยาพวกนี้ให้น้อยลงบ้าง”

1 สัปดาห์ก่อนจะลงสนามพบกับโคเปนเฮเกน แอกเกอร์ ประสบอาการบาดเจ็บและอาจลงสนามไม่ไหว เพียงแต่เขาต้องการจะลงเล่นอย่างมากทำให้ทายาในปริมาณสูงสุดเท่าที่มีการแนะนำ นั่นคือ

ทานยา 2 เม็ด วันละ 3 ครั้งเป็นเวลาตลอดทั้งสัปดาห์ ถึงแม้จะได้รับการแจ้งจากแพทย์ว่าเขาจะทานยาในปริมาณนี้ได้เพียงแค่ 3 วันเท่านั้น

ผลจากการใช้ยาดังกล่าวทำให้เขามีอาการง่วงและอ่อนเพลียตลอดเวลา ซึ่งสิ่งที่เขาทำต่อมาไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยกับการแก้ง่วงด้วยคาเฟอีนจากกาแฟ

ก่อนจะลงสนามกับโคเปนเฮเกน ในช่วงเช้าเขาซัดยาไป 2 เม็ด และอีก 2 เม็ดในช่วงก่อนเกม จากนั้นเขาผลอยหลับไปในช่วงที่อยู่บนรถโค้ช 15 นาที ก่อนที่ มาร์ติน ออร์นสคอฟ จะปลุกเขาขึ้น ซึ่งหลังจากนั้น ออร์นสคอฟ เล่าให้เขาฟังในภายหลังว่าเขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย

แม้จะเป็นช่วงก่อนลงสนาม เขาก็ยังง่วงมาก ทำให้เขาอัดคาเฟอีนเข้าร่างกาย พร้อมกับเครื่องดื่มให้พลังงานในช่วงการวอร์มอัพ เขาลงอบอุ่นร่างกายเหมือนทุกครั้งเพียงแต่รู้สึกแย่มาก

“ผมคิดถึงสิ่งเดียวเท่านั้นคือการพักในห้องแต่งตัว แต่หลังการวอร์มอัพผมตัดสินใจว่าผมจะลงสนาม”

แต่ด้วยฤทธิ์ยาทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองอีกเลย การพูดก่อนเกม (team-talk) ของเขานั้นไม่รู้เรื่อง และเขาก็มีปัญหากับการเคลื่อนที่ในสนาม สายตาของเขาเบลอจับการเคลื่อนไหวไม่ได้และไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาบ้าง

มีจังหวะนึงที่เขาพยายามจะโหม่งบอลที่มาตรงๆ แต่เขามองไม่เห็นบอล เขากะระยะพลาดและบอลตกลงบนแขนของเขา

สภาพเช่นนี้ทำให้เขาต้องโดนเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 29 ก่อนจะมานั่งพักที่ม้านั่งสำรอง แต่สุดท้ายแล้วต้องโดนหามส่งเข้าห้องปฐมพยาบาล และเขาจำอะไรไม่ได้เลยหลังจากนั้น”

หลังเกมจบลงในคืนนั้น เมื่อกลับถึงบ้านเขาตัดสินใจเล่าให้ภรรยาฟังโดยที่เธอไม่ได้พูดอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอคิดเสมอมาว่าเขาควรจะได้รับการบำบัดเสียทีหลังเห็นการใช้ยาของเขา

“เธอเคยบอกเรื่องนี้กับผมมานับครั้งไม่ถ้วนว่าผมควรจะเลิกกินยา แต่ผมก็ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา” แอกเกอร์กล่าว “ดังนั้นตอนที่ผมตัดสินใจจะหยุดเล่น เธอดูดีใจมากเพราะผมเจ็บปวดมามาก และผมก็ใช้ยาหนักมาก เพียงเพื่อให้ผมจะยืนในสนามไหว”

ในเดือนมีนาคม 2015 แอกเกอร์ พยายามลดปริมาณการใช้ยาลงหลังเริ่มตระหนักว่าร่างกายของเขารับมันไม่ไหวแล้ว ก่อนที่ในอีก 1 ปีกับอีก 2 เดือนเขาจะตัดสินใจหยุดทุกอย่าง

“ผมมาถึงจุดที่ผมคิดว่าผมพอแล้วทั้งทางร่างกายและจิตใจ และสำหรับผมการยังเล่นในระดับสูงสุดได้นั้นเป็นเรื่องที่มีความหมายกับผมมาก ผมได้รับข้อเสนอเพื่อให้ลงเล่นต่อด้วย แต่ผมไม่อยากที่จะเล่นในระดับที่ต่ำกว่า ผมอยากจะเลิกเล่นในระดับสูงสุดมากกว่า ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมตัดสินใจที่จะเลิกเล่น”

12 ปีหลังการประเดิมสนามให้ บรอนด์บี้ ในวัย 19 ปี หนึ่งในปราการหลังที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติเดนมาร์กตัดสินใจทิ้งทุกอย่างไว้ในเบื้องหลังกับสีเสื้อทีมแรกและทีมสุดท้ายของเขา

ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครที่เดินทางผิดตามเขาอีก

by ลูกแม่กิ่ง (lookmaeking@hotmail.com)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook