สกู๊ป : “เคมี” ที่ตรงกัน

สกู๊ป : “เคมี” ที่ตรงกัน

สกู๊ป : “เคมี” ที่ตรงกัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“ไทม์ไลน์” หลังจาก แซม อัลลาไดซ์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเมื่อวันศุกร์ที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์ของ 2 กุนซือชื่อดังตามมาติดๆ

เดวิด มอยส์ ถูกเลือกเป็น “ไม้ต่อ” ถัดจาก “บิ๊กแซม” ในทีมซันเดอร์แลนด์ตามความคาดหมาย

ทว่ามีแอบเสียวๆ เพราะในช่วงเวลาใกล้กัน สตีฟ บรู๊ซ ก็ลาออกจากการเป็นกุนซือ ฮัลล์ ซิตี้ ทั้งที่เพิ่งพา “เดอะ ไทเกอร์” ขึ้นชั้นสู่พรีเมียร์ลีก

ตอนแรกก็แอบหวั่นกันอยู่ว่า บรู๊ซ จะ “แซงโค้ง” มอยส์ เข้ารับตำแหน่งที่ สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ หรือไม่?

แต่สุดท้าย “หวยล็อก” ทุกอย่างตรงตามสเป็ค จะมีผิดไปบ้างก็ตรงที่ บรู๊ซ ซึ่งถูกเลือกให้เป็น “แคนดิเดท” และได้เข้าสัมภาษณ์ตำแหน่งกุนซือทีมชาติอังกฤษด้วยเช่นกัน

“ลาออก” แบบไม่มีปี่ มีขลุ่ยนักจนพาลคิดไปว่า ซันเดอร์แลนด์ จะ “ปรับโผ” กุนซือคนใหม่หรือไม่ก็เท่านั้น

ว่ากันว่า ทั้งการลาออกของ บรู๊ซ และการแยกทางของ “บิ๊กแซม” จากต้นสังกัดเป็นไปอย่าง “ไม่สวย” นัก

เฉพาะอย่างยิ่ง กรณีอัลลาไดซ์ ที่เริ่มตั้งแต่ทีม “แมวดำ” เหน็บสมาคมฟุตบอลอังกฤษว่า แอบติดต่อ และไม่ได้ยื่นเรื่องอย่างเป็นทางการเป็นขั้นตอน และกระบวนการ

ผลกระทบคือ อัลลาไดซ์ ต้องบินกลับจากทัวร์อุ่นเครื่อง ออสเตรียกับซันเดอร์แลนด์ สู่กระบวนการจัดหาของ “เอฟเอ” โดยที่ยังไม่รู้ตัวเองว่า จะได้/ไม่ได้รับตำแหน่ง

แต่ที่ “รู้แน่ๆ” คือ ใจมาแล้ว และนั่นกระทบตรงกับซันเดอร์แลนด์! ไม่นับรวมถ้อยแถลงแยกทางที่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้ “พูดถึง” หรือกล่าว “ขอบคุณ” กัน และกัน

นี่ยังดีครับ ที่สุดท้ายหวยออกตรงตามล็อกเป็น “บิ๊กแซม” หาไม่แล้วคงอลหม่านกว่านี้

เพราะจะกระทบเป็น “โดมิโม่” กันหมดไม่ว่าจะ ซันเดอร์แลนด์, แซม และมอยส์ โดยมี “น้ำจิ้ม” เป็น สตีฟ บรู๊ซ ที่โผล่เข้ามาในฉากภายหลัง

โดยในส่วนของ “บิ๊กแซม” ผมเขียนถึงไปหลายตอนแล้ว ขณะที่บรู๊ซ ยังรอข้อสรุป

ดังนั้น วันนี้ขอพูดถึง เดวิด มอยส์ เป็นกรณีพิเศษนะครับ เพราะ “เคส มอยส์” ยังไงก็น่าสนใจในฐานะที่ประทับยี่ห้อ “อดีตกุนซือปิศาจแดง”

มันคือ “แบรนด์” ครับ ไม่ต่างอะไรกับ (อดีต) กุนซือทีมชาติอังกฤษ ที่ยังไงๆ ชื่อก็ “ขายได้”

มอยส์ ตอนรับตำแหน่ง The Chosen One จากเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็เซ็นสัญญาถึง 6 ปี แม้จะสิ้นสุดจริงแค่ 10 เดือนก็ตาม

ทว่า ต้องเข้าเหมือนกันว่า เอ๊ด วู้ดเวิร์ดส ตอนนั้นก็ยังใหม่กับการบริหาร และแทบหาซื้อใครมาเสริมไม่ได้เลยนอกจาก มารูยาน เฟลไลนี่

ถัดจาก แมนฯยูฯ ที่ว่ากันว่า “ใหญ่ไป” สำหรับมอยส์ กุนซือเลือดสกอตต์ ไปคุมทีมเล็ก (กว่ามาก) เรอัล โซเซียดัด ของสเปน

และก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกเช่นกันกับช่วงเวลา 1 ปีที่คุมทีมชนะด้วยสถิติไม่ถึง 30% (42% กับเอฟเวอร์ตัน และ 53% กับแมนฯยูฯ หรือ 48% กับเปรสตัน)

ปัญหาของมอยส์ ตอนนี้กำลังถูก “ประเมิน” ว่ามาจาก “สไตล์” การเล่นที่แม้จะแพ้ยาก แต่เกมรุกอาจไม่ได้หวือหวา สนุกสนาน ประมาณว่า ไม่ผลีผลาม

แน่นอนครับว่า นี่คือเหตุหลักทำให้ “สไตล์นี้” ไปฟิตกับทีมใหญ่ที่จำเป็นต้องบุกในบ้าน และเอาใจแฟนๆ ไปด้วยพร้อมๆ กันอย่าง แมนฯยูฯ ไม่ได้

ฟุตบอลสไตล์รับแล้วโต้ ผมไม่ได้ “ดูถูก” นะครับ แต่มันเป็นเกมของลูกผู้ชายทีมเล็ก

ลูกผู้ชายทีมใหญ่ มี “พันธกิจ” สำคัญกว่า แค่ชนะธรรมดาๆ โดยเฉพาะในบ้านต่อหน้าแฟนๆ ที่หาก “เพรสซิ่ง” แนวสูงได้ก็ต้องทำ

จุดนี้นำมาซึ่ง ความน่าสนใจ ณ ค.ศ.นี้ว่า เดวิด มอยส์ จะ “เอ๊าท์” ไปหรือยัง?

กับโลกฟุตบอลสมัยนี้!!!

ส่วนตัวผมมองเหมือน เอลลิส ชอต ประธานสโมสรแมวดำ นะครับที่ “ไล่ล่า” อยากได้ตัวกุนซือวัย 54 ปีมานานแล้ว

ติดแค่ “ว่าง” ไม่ตรงกันกระทั่งครั้งนี้หลังได้เงินชดเชยจาก “เอฟเอ” 3 ล้านปอนด์ และแยกทางกับ “บิ๊กแซม” แล้วจึงสามารถตามจีบมอยส์ซึ่งว่างมาตั้งแต่ พ.ย.ปีก่อนได้สำเร็จ

ผมยังมองด้วยว่า คู่ “มอยส์ - แมวดำ” ดูเหมือนจะถูกคู่ และเท็จจริงจากปาก เอลลิส ชอต จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ !?

หรือมอยส์ เลือกปฏิเสธใครต่อใครก่อนหน้านี้หรือไม่? เพื่อ “รอชอยส์” ที่ตรงจริตกับตัวเองอย่างซันเดอร์แลนด์!?

เหล่านี้ ผมไม่แน่ใจ แต่ผมแน่ใจว่า หาก เดวิด มอยส์ ไม่หลง “โลกอดีต” มากไปนัก ตัวเค้าน่าจะมี “เคมีตรงกัน” กับซันเดอร์แลนด์ เป็นที่สุดครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook