"ลาคำสาปและคราบน้ำตา"
น้ำตาลูกผู้ชายของ เนย์มาร์ มันพูดแทนความรู้สึกของคนบราซิลทั้งประเทศ
เจ็บปวด รวดร้าว ผิดหวัง คั่งแค้น และการสาปแช่งต่อโชคชะตา ตลอดระยะเวลา 66 ปี
จาก “มาราคานาโซ่” กับประตูคำสาปของ อัลซิเดส จิกเกีย สู่หายนะที่เลวร้ายยิ่งกว่าที่ เบโล ฮอริซอนเต้
วันนี้คำสาปและคราบน้ำตาได้ถูกลบลงแล้ว
เนย์มาร์ ทำในสิ่งที่คนบราซิลทั้งชาติคาดหวังได้สำเร็จกับการนำ “อา เซเลเซา” คว้าชัยชนะบนแผ่นดินเกิดของตัวเองได้สำเร็จ
กับประตูที่งดงามจากลูกยิงฟรีคิกที่จะเป็น “ช่วงเวลาทองคำ” สำหรับเขาที่เอาไปเล่าต่อได้ยันรุ่นลูกรุ่นหลาน
ก่อนที่ “เจ้าชายแห่งดวงอาทิตย์” จะพิชิตความขลาดกลัวในหัวใจ ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ เยอรมนี สามารถตีเสมอเป็น 1-1 ได้สำเร็จ ด้วยการสังหารจุดโทษเป็นคนสุดท้ายที่นำบราซิล คว้าชัยชนะสำคัญบนแผ่นดินเกิดได้สำเร็จ ที่จะเป็น “นิทานลูกหนัง” ของทั้งเขาและคนทั้งชาติสืบไป
บราซิล กับชัยชนะบนแผ่นดินเกิด บราซิลที่ลบคำสาป “มาราคานาโซ” เมื่อ 66 ปีก่อน และบราซิล ที่ล้างแค้นเยอรมันที่ยัดเยียดฝันร้ายตลอดกาลกับสกอร์ 1-7 ที่ เบโล ฮอริซอนเต้
ถึงแม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาปรารถนาที่สุดอย่างฟุตบอลโลก แต่ฟุตบอลโอลิมปิก เหรียญทองต้องสาปที่บราซิลไม่เคยคว้ามาครองได้ก็สามารถมองในฐานะความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน
อย่างน้อยที่สุดมันก็ดีพอที่จะปลอบประโลมหัวใจของคนทั้งชาติที่บอบช้ำมาอย่างหนักกับทุกเรื่องของชีวิต ไม่ว่าจะเศรษฐกิจ สังคม หรืออื่นใด
เพราะฟุตบอลนั้นเป็นยิ่งใหญ่กว่าชีวิตของคนบราซิล แม้กระทั่งปรัชญาในการดำเนินชีวิตของพวกเขาคือ “จิงก้า” (Ginga) ที่ถูกสะท้อนถึงการเล่นฟุตบอลไม่ว่าจะบนสนามหญ้า หรือข้างสนามก็ตาม
ชัยชนะครั้งนี้นำ 2 สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งกลับคืนสู่คนทั้งชาติอีกครั้ง
หนึ่งคือ “ความสุข” และอีกหนึ่งคือ “ความหวัง”
แน่นอนว่าเหรียญทองครั้งนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงบราซิล ให้เป็นประเทศที่ดีพร้อมได้ในทันที เพราะอย่างที่รู้บ้านเมืองแห่งนี้ยังต้องสาปจากเหล่านักการเมืองที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงจนชาติแทบล่มจม
บาดเจ็บทางเศรษฐกิจจากการลงทุนมหาศาลโดยไม่จำเป็นกับฟุตบอลโลก 2014 และโอลิมปิก 2016 ต้องใช้เวลาเยียวยาอีกมาก และไม่มีใครรู้ว่าบราซิล จะกลับมาเป็นชาติที่แข็งแรงทางเศรษฐกิจได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาประชาชนส่วนมากของประเทศแทบไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ
แต่ความสุขและความหวังจะเป็นพลังที่ทำให้คนบราซิลสู้ต่อไป
แรงบันดาลใจจากทัพนักเตะชุดโอลิมปิกในครั้งนี้จะถูกส่งต่อไปยังนักเตะรุ่นลูกรุ่นหลาน
เหมือนที่พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่นก่อนเรื่อยมา จาก เปเล่ สู่ซิโก้ สู่โรนัลโด้ และล่าสุดคือ เนย์มาร์
สำหรับเนย์มาร์ ผมเองดีใจและมีความสุขแทนเขาครับ
อย่างน้อยเขาทำในสิ่งที่คนบราซิลกว่า 200 ล้านคนคาดหวังจากตัวเขามาตลอดชีวิตได้สำเร็จ
ลำพังแค่ความหวังจากใครสักคนที่เราต้องแบกไว้มันหนักหนามากแล้วครับ
การที่ต้องแบกความหวังของคนทั้งชาติมาตลอดชีวิตการเล่นนักฟุตบอลนั้นเป็นสิ่งที่สาหัสต่อหัวใจและความรู้สึกอย่างมาก
มีเพียงตัวเขาที่รู้ว่าความรู้สึกตลอดมานั้นเป็นอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นในฟุตบอลโลก 2014 กับฉากที่ทุกคนจินตนาการว่า เนย์มาร์ ทายาทลูกหนังสายตรงของซานโต้ส สโมสรเดียวกับ “ไข่มุกดำ” เปเล่ จะพาทีมชูถ้วยทองของฟุตบอลโลกได้ แต่สุดท้ายเขาถูกทำร้ายที่หลังจนไม่สามารถลงสนามช่วยทีมในเกมกับเยอรมันได้ และทำให้คนบราซิลทั้งประเทศต้องหลั่งน้ำตา
เช่นกันกับครั้งนี้ที่ทุกคนคาดหวังอย่างมากว่าในโอกาสที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลบราซิล ที่พวกเขาจะคว้าชัยชนะในเกมฟุตบอลบนแผ่นดินเกิด
น้ำหนักของมันแทบทำให้ยืนไม่ไหว
น้ำตาของเนย์มาร์ ที่หลั่งออกมาเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งหลังยิงจุดโทษลูกตัดสินให้ทีม อาจไม่ใช่มาจากแค่ความยินดี
แต่มันคือความโล่งใจที่ในที่สุดเขาก็ทำในสิ่งที่ถูกบังคับให้ต้องทำได้สำเร็จ
การประกาศอำลาจากตำแหน่งกัปตันทีมชาติทันทีเป็นการบ่งบอกว่า เขาขอเวลาเพื่อพักหัวใจสักระยะหนึ่ง
มันเหนื่อยและหนักมาเกินพอแล้ว
อย่างไรก็ดี โอลิมปิก อาจไม่ใช่เกียรติยศสุดท้ายในชีวิตของเขา
ชื่อของ เนย์มาร์ ยังมีโอกาสจะก้าวไปสู่การเป็นตำนานเทียบเท่ากับ โรนัลโด้ หรือโรมาริโอได้หากเขาสามารถพาทีมพิชิตฟุตบอลโลกในอีก 2 ปี หรือ 6 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้า
หรืออาจจะไปได้ไกลกว่านั้นในการเป็นราชาลูกหนังของโลกยุคนี้ ต่อจากเปเล่ ในยุคก่อน
แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคตครับ
ณ เข็มนาฬิกาเดินไปนี้ ทั้งเนย์มาร์ และคนบราซิล ควรทำในสิ่งที่ควรทำด้วยกันก่อน
มีความสุขกับเวลานี้ที่พวกเขารอคอย สวมกอดและปล่อยให้น้ำตาแห่งความยินดีได้หลั่งริน