"ผีแดง"...แรง x 3

"ผีแดง"...แรง x 3

"ผีแดง"...แรง x 3
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

น่าคิดนะครับว่าหาก โจเซ่ มูรินโญ่ ได้เป็นผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เร็วกว่านี้ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว หรือต้นปีที่ผ่านมา เหล่าอสูรแดงจะไปได้ไกลถึงไหน

ที่กล่าวเช่นนี้เพราะเพียงแค่การลงสนามในเกมอย่างเป็นทางการ 3 นัด มูรินโญ่ สามารถเปลี่ยนแปลงทีมที่เละเทะภายใต้การนำของ หลุยส์ ฟาน ฮาล ให้กลายเป็นคนละทีมที่น่าสะพรึงกลัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ทั้งที่นักเตะส่วนใหญ่ก็เป็นชุดเดิม สิ่งที่เพิ่มเติมมีเพียงนักเตะระดับท็อปคลาสของจริง 4 คน

นี่คือ “สัจธรรม” ของเกมฟุตบอลที่ มูรินโญ่ เข้าใจอย่างปราดเปรื่องครับว่านักฟุตบอลระดับท็อปของจริงนั้น ขอเพียงไม่กี่คนก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมาย


จากสิ่งที่เราได้เห็นในชัยชนะเหนือ ซันเดอร์แลนด์ และล่าสุดในเกม Friday Night เกมแรกของประวัติศาสตร์กับ เซาแธมป์ตัน สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องของฟอร์มการเล่น ซึ่งมันไม่ใช่ “สาระ” สำคัญในฟุตบอลสไตล์จอมอหังการ

2 เรื่องที่มีความหมายมากกว่าคือสิ่งที่เรียกว่า สปิริต และความกระหายในการคว้าชัยชนะ

นี่คือ 2 สิ่งที่เราเห็นได้ชัดใน 2 นัดที่ผ่านมา ซึ่งชัดเจนยิ่งกว่าในช่วงพรีซีซั่น และชัดเจนยิ่งกว่าในเกมคอมมิวนิตี้  ชิลด์ กับเลสเตอร์ ซิตี้

แน่นอนครับว่านักเตะอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ย่อมมี “อิทธิพล” ต่อทีมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ซลาตัน เป็นนักฟุตบอลที่มี “ไฟ” ในหัวใจร้อนแรงที่สุดคนหนึ่งของโลก ความร้อนแรงของเขาแม้จะอยู่ในวัย 34 ปีก็ยังเหนือกว่านักฟุตบอลอีกค่อนโลก

Passion ของเขาถูกส่งต่อมาถึงทีมอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้


แต่ไม่ใช่อิทธิพลเฉพาะแค่ ซลาตัน เท่านั้น เพราะยังมี ปอล ป็อกบา นักฟุตบอลที่มีความทะเยอทะยานมากที่สุดในโลกอีกคน

และแน่นอนครับว่า มูรินโญ่ เองก็เป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญที่สุดของทีมด้วย

ไฟร้อนจากนรกทั้ง 3 ทำให้ยูไนเต็ด กลับมาเป็นยูไนเต็ด ที่เรา “คุ้นๆ” หลังจากที่ไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้มานานหลายปี

ทีนี้ต่อจากเรื่องของความรู้สึก สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของ ยูไนเต็ด คือ “คุณภาพ” ของการเล่น

จากที่ได้เห็นมา 2 นัด แมนฯ ยูไนเต็ด ทรงบอลของพวกเขายังไม่ถึงกับเนียนตา หรือหวือหวาอะไรป่านนั้น


แต่สิ่งที่ชัดเจนว่าดีขึ้นคือคุณภาพในการเล่น ซึ่งก็เช่นเคยครับมันเป็นผลที่สืบมาจากตัวผู้เล่นในระดับท็อปที่เติมเข้ามา

นักเตะอย่าง ซลาตัน, ป็อกบา สามารถเปลี่ยนแปลงทีมได้ด้วยตัวเอง ขณะที่ เอริค ไบญี่ เองก็แข็งแกร่งในระดับที่สามารถยืนเป็นตัวหลักของทีมได้อย่างไม่เคอะเขิน และประเมินจากสายตาแล้ว มีโอกาสที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นกองหลังระดับท็อป 5 ของโลกได้ไม่ยาก

ที่เหลือคือ เฮนริค มคิตารยาน หรือถ้าหากจะเรียกตามที่เจ้าตัวออกเสียงเองคือ “เฮนริค มิกิตาเรี่ยน” ที่ยังรอคอยโอกาสที่สอดแทรกเข้ามาในทีม

คุณภาพในการเล่นเหล่านี้เป็นความแตกต่างระหว่างพวกเขากับทีมอื่นครับ ไม่ว่าจะเป็นกับ เลสเตอร์, ซันเดอร์แลนด์ หรือเซาแธมป์ตัน ในเกมล่าสุด

โดยเฉพาะอิบราฮิโมวิช ที่ทำประตูทุกนัด และกลายเป็นสตาร์หมายเลข 1 ของทีมไปแล้วในเวลานี้ เรียกว่าแม้กระทั่งนักฟุตบอลที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลกอย่าง ปอล ป็อกบา เองก็ยังต้องยอมหลีกทางให้


มันอาจจะน่าคิดอยู่บ้างว่าหากเจอกับทีมในระดับท็อปด้วยกัน ยูไนเต็ด จะเล่นแบบนี้ได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมา 3 นัด ผมไม่จัดว่าทั้ง เลสเตอร์ (ที่ระส่ำระสาย),ซันเดอร์แลนด์ และเซาแธมป์ตัน จะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน

แต่ผมเชื่อในทฤษฎีนักเตะระดับโลกว่า นักเตะเหล่านี้เสกอะไรให้เกิดขึ้นก็ได้ในเกมเสมอ

อาจจะเร็วเกินไปอยู่บ้างครับ แต่ผมพอที่จะบอกได้ในเวลานี้ว่า ยูไนเต็ด มีศักยภาพที่จะจบฤดูกาลด้วยการเป็นแชมป์ได้

เพราะทุกอย่างมันเป็นไปตามทางที่ มูรินโญ่ กำหนดเอาไว้หมดแล้ว

และสิ่งที่เขาตั้งใจ ไม่มีอย่างอื่นนอกจากการตบหน้าเชลซี ด้วยการพาแมนฯ ยูไนเต็ด เป็นแชมป์ครับ

นิทานลูกหนัง
by ลูกแม่กิ่ง (lookmaeking@hotmail.com)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook