สกู๊ป : เสือใต้ "เปลี่ยนหัว", เสือเหลือง "เปลี่ยนทัพ"

สกู๊ป : เสือใต้ "เปลี่ยนหัว", เสือเหลือง "เปลี่ยนทัพ"

สกู๊ป : เสือใต้ "เปลี่ยนหัว", เสือเหลือง "เปลี่ยนทัพ"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากฤดูกาลนี้ไม่ได้มีการ “เปลี่ยนแปลง” อันเป็นวิถีของฟุตบอลเกิดขึ้นกับทั้ง 2 ทีมเต็งแชมป์บุนเดสลีกา ซีซั่นที่ 54 ระหว่าง บาเยิร์น มิวนิค กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

ฤดูกาลใหม่ 2016/17 ที่จะเริ่มคิกออฟสุดสัปดาห์สิ้นเดือน ส.ค.นี้ : 26 ส.ค.คงจะ “คาดการณ์” อะไรต่อมิอะไรได้ค่อนข้างง่าย

แม้จริง ๆ แล้วจะพอคาดเดา “ผลลัพธ์” ใครเป็นแชมป์ได้ไม่ยากนักเหมือนเดิมก็ตาม

คาร์โล อันเชล็อตติ เข้ามานั่งคุมบังเหียนแทน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในตำแหน่งกุนซือเสือใต้ บาเยิร์นฯ ที่ยังคงต้องเป็น “เก้าอี้ร้อน” เหมือนเดิม

แม้โดยบุคลิกภาพแล้ว “คาร์เล็ตโต้” จะสุขุม เยือกเย็น และมีสไตล์ดูสุภาพนิ่มนวลข้างสนาม หรือในการเจรจามากกว่า “เป๊ป” อยู่ไม่น้อยก็ตาม

ไม่เฉพาะ “รูปลักษณ์” และคาแร็กเตอร์กุนซือครับ ในแง่ “สไตล์” ระหว่างเป๊ป กับอันเชล็อตติ ก็จะต่างกันค่อนข้างราวฟ้ากับเหว

ระบบกองหลัง “ดันสูง” หรือที่เรียกว่า “high line” ไม่ใช่ “คาร์เล็ตโต้ สไตล์” เพราะกุนซืออิตาเลียนจะเน้นรับต่ำกว่าไม่นับระบบเกมรับโดยใช้กองหลังตัวกลาง 3 คนแล้วดันฟูลแบ็คขึ้นสูง 2 ฝั่งพร้อมกัน

“อันเช่” ก็ไม่ทำเช่นกัน และคงทำให้เราเห็นภาพ มานูเอล นอยเออร์ ออกมาตัดบอลน้อยลง หรือแบ็คอย่าง ดาวิด อลาบ้า ถูกตีกรอบมากขึ้น เป็นต้น

ไม่นับ “จุดขาย” เป๊ปในเรื่องการ “ครองบอล” ที่อันเชล็อตติ ไม่ได้ให้ความสำคัญ หรือบรรจุเป็น “ปรัชญา” หลักในการทำทีมของเค้า

ในแง่ขุนพล บาเยิร์นฯจะได้ชื่อว่า “สะสม” กำลังพลในแต่ละตำแหน่ง 2-3 ตัวทดแทนอยู่แล้ว และปีนี้ยังได้เด็กเก่า แมตต์ ฮุมเมิ่ลส์ กลับมาจากดอร์ทมุนด์พร้อมๆกับเติมดาวรุ่งโปรตุกีส เรนาโต้ ซานเชส ที่ฉายแววซุปตาร์จาก “ยูโร 2016” มาเติมทัพอีกด้วย

การเพิ่มอาวุธของเสือใต้ แม้จะเน้นเนื้อๆ ไม่เยอะรวมกับตัวแกร่งเดิมๆ ที่ยังอยู่ครบยกเว้นสตาร์อย่าง มาริโอ เกิตเซ่ ที่ย้ายกลับเสือเหลืองจัดว่าเทียบไม่ได้เลยครับกับ โธมัส ทูเคิ่ล ที่ต้องเจอการเปลี่ยนแปลงมากมาย

จริงๆแล้ว ไม่ใช่เรื่อง “ประหลาด” หรือเป็นสิ่งใหม่ของดอร์ทมุนด์กับการต้องเสียตัวผู้เล่นหลักๆทุกซัมเมอร์แล้วไปควานหาเพชรแท้ใหม่ๆเข้ามาประดับบารมี

ซีซั่นก็เช่นกันที่นอกจาก ฮุมเมิ่ลส์แล้ว เฮนริค มคิห์ทาร์ยาน (แมนฯ ยูฯ) และอิลคาย กุนโดกัน (แมนฯ ซิตี้) ต่างเป็น 3 ตัวละครเอกของทีมที่ย้ายออก

แม้งานนี้จะแลกด้วยการกลับมาของ เกิตเซ่ และดาวรุ่งในลีกยุโรปอย่าง ราฟาเอล เกร์เรโร่ (แบ็คซ้าย - ลอริยองต์), อุสมาเน่ เดมเบเล่ (หัวหอก - แรนส์), มาร์ค บาร์ทร้า (เซนเตอร์ฯ – บาร์ซ่า), มิเกล เมริโน่ (มิดฟิลด์ตัวรับ – เอสปันญ่อล) หรือเอมเร่ มอร์ (ปีก – นอร์ทเจลแลนด์)

ทว่านั่นคือ “ปัญหา” สำหรับทูเคิ่ลที่อาจจะเรียกว่าความ “ท้าทาย” ก็ได้ในการสร้างทีมที่เสียตัวหลักไป และต้องผสมกับนักเตะใหม่ๆกว่าครึ่งทีม

จุดนี้แหละครับ จะวัด “กึ๋น” ของกุนซือหนุ่มรายนี้อย่างแท้จริงกับบททดสอบใหม่กับคู่แข่งที่เหมือนไม่ใช่คู่ชิงชัยกันเพราะเหนือกว่าพอควรอย่าง บาเยิร์นฯ

ดังนั้น ในมุมนี้ สิ่งที่ผู้สันทัดกรณีมองจึงเป็นการแย่งชิงอันดับ 2 ที่มีดอร์ทมุนด์นำหัวขบวนตามด้วยทีมอื่นๆอย่าง เลเวอร์คูเซ่น, โวล์ฟสบวร์ก, ชาลเก้ หรือกลัดบัค ที่ตามราคาต่อรองแล้ว “เรียงลำดับ” ตามนี้เลยครับ

และน่าเชื่อชนมกินได้ว่า ลุ้น “อันดับ 2” ระหว่างดอร์ทมุนด์ กับอีก 4 ทีมข้างต้นน่าจะ “มันส์กว่า” ลุ้นแชมป์ หรือลุ้นพื้นที่อื่นๆที่ “หนีตาย” คงมีส่วนที่ต้องต่อสู้กันสนุกตั้งแต่ต้นจบจบ

ทีมตกชั้นฤดูกาลที่ผ่านมามีความสนใจให้ “ย้อนหลัง” สักนิดว่า “ม้าขาว” สตุ๊ตการ์ต ตกชั้นหนแรกในรอบ 39 ปี ขณะที่ฮันโนเวอร์ ก็หล่นเป็นหนแรกในรอบเวลา 14 ปีซึ่งจัดว่า “ไม่น้อย” เช่นกันกับ 2 ทีมที่น่าจะได้ชื่อว่า “สถาปนา” ในลีกสูงสุดเรียบร้อยแล้ว

โดยทีมที่ขึ้นชั้นมา 2 ทีมประกอบไปด้วย ไฟร์บวร์ก แชมป์ และไลป์ซิก รองแชมป์บุนเดสลีกา 2 ขณะที่อีกทีมปรากฎว่า แฟรงค์เฟิร์ต เพลย์ออฟปราบเนิร์นแบร์ก ทำให้คงสภาพการเป็นทีมในลีกสูงสุดได้ต่อไป

ไลป์ซิก ยังจัดเป็นทีมจากเยอรมันตะวันออก (เดิม) ทีมแรกนับจากเอนเนอยี ค็อตบุส ในฤดูกาล 2008/09 ที่ได้ขึ้นชั้นสู่ลีกสูงสุดที่จะยังคง “โควต้า” ตกชั้นอัตโนมัติ 2 ทีม และเพลย์ออฟ 1 ทีม

ขณะที่เวทียุโรปก็จะเลือก 3 ทีมแรกไปเตะยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แบบออโตเมติก, อันดับ 4 ไปเตะเพลย์ออฟเพื่อเข้ารอบแบ่งกลุ่ม และอันดับ 5 กับ 6 ไปเตะยูโรป้า ลีก

เอาเป็นว่า วันนี้ผมขอ “แตะ” หัวตารางไว้ก่อนนะครับ พรุ่งนี้น่าจะมาเก็บตกหนีตาย และส่วนประเด็นย่อยอื่น ๆ ที่เหลือครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook