ไม่ได้มีแค่ "เสือ"

ไม่ได้มีแค่ "เสือ"

ไม่ได้มีแค่ "เสือ"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จริงอยู่ที่ในยุคสมัยนี้ “บุนเดสลีกา” อาจไม่ใช่ลีกที่ได้รับความสนใจเป็นลำดับแรกๆ หากแต่ย้อนกลับไปในยุคที่ผมเริ่มดูฟุตบอลใหม่ๆเมื่อ 20 กว่าปีก่อนแล้ว ลีกลูกหนังเยอรมันถือเป็นหนึ่งในสุดยอดลีกของโลกที่ในความรู้สึกส่วนตัวแล้วน่าดูมากกว่าฟุตบอลพรีเมียร์ลีกด้วยซ้ำไป

เพราะยุคนั้นบุนเดสลีกามีแต่ตัวระดับเทพอย่าง “จอมห้าวหัวเสือ” สเตฟาน เอฟเฟนแบร์ก, “เจ้าชายผมแดง” มัทธีอัส ซามเมอร์, “ยอดคนแสนคม” โธมัส เฮสเลอร์, “ไอ้หนูแข้งทอง” อันเดรียส โมลเลอร์, “โมสาร์ตลูกหนัง” อันเดรียส แฮร์โซก, “พ่อมดเวลา” ชิริอาโก สฟอร์ซ่า, “ซูเปอร์มาริโอ” (ของจริง) มาริโอ บาสเลอร์ - สมญานามทั้งหมดตั้งโดย “ครู” ลูกหนังเมืองเบียร์ อย่าง ก.ป้อหล่วน และช่อคูน

นอกจากนี้ยังมี 3 ประสาน “เอล-บา-โบ” โจวานนี่ เอลแบร์ (ผู้นำเทรนด์สตั๊ดสีขาว ก่อนจะมีสตั๊ด 7 สีในทุกวันนี้) -คลาสิเมียร์ บาลาคอฟ-เฟรดี้ โบบิช สามประสานระดับตำนานรุ่น 90 และเกรดที่รองลงมาอย่าง โรดอลโฟ คาร์โดโซ่, ดาริอุส วอตซ์, เมเหม็ด โชล และอื่นๆอีกมากมาย

น่าเสียดายที่บุนเดสลีกาในยุคต่อมาตกต่ำลงไปเยอะครับ ซูเปอร์สตาร์รุ่นเก๋าเริ่มทยอยกันลาวงการ โดยไม่มีสตาร์สายเลือดใหม่ขึ้นมารับช่วงได้ทัน ซูเปอร์สตาร์จากต่างแดนก็ไหลตามเม็ดเงินไปอยู่ พรีเมียร์ลีก, ลา ลีกา กันหมด


อย่างไรก็ดีหลังจากพ้นยุคมืด บุนเดสลีกา ก็เริ่มกลับมาเป็นลีกฟุตบอลที่น่าติดตามอีกครั้ง ตามความสำเร็จของทีมชาติเยอรมันที่เริ่มฟื้นตัวในช่วงหลังปี 2002

และเริ่มมาเข้มข้นอีกครั้งเมื่อ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ผงาดกลับมาแย่งความสำเร็จกับบาเยิร์น มิวนิค ในช่วงยุคที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เป็นนายใหญ่

สีสันของฟุตบอลบุนเดสลีกาอาจจะไม่เท่ากับพรีเมียร์ลีก หรือ ลา ลีกา ที่ฉูดฉาด แต่ในเรื่องของคุณภาพเกมการแข่งขันแล้วถือว่าใช้ได้ครับ

อย่างน้อยเกมดูสนุกขึ้นกว่าที่ผ่านมา อาจจะไม่ใกล้เคียงใน “ยุคทอง” เมื่อ 20 ปีก่อน แต่ก็ไม่ขี้เหร่อะไร

เผลอๆบางนัดดีกว่าพรีเมียร์ลีก ที่โฆษณาว่าเป็นลีกที่น่าตื่นเต้นที่สุดด้วยซ้ำไป

ทีนี้ก่อนที่บุนเดสลีกาจะเปิดในวันศุกร์นี้นั้น มันมีคำถามสำคัญอยู่ครับ

คำถามว่า “ดูบุนเดสลีกาอย่างไรให้สนุก”?

ถ้ามองไปที่การแข่งขันของ 2 เสืออย่าง “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค และ “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แล้วมันอาจทำให้เกิดอาการเจขึ้นมาได้โดยไม่ตั้งใจครับ

เพราะแน่นอนว่าแชมป์นั้นอยู่กับ 2 ทีมนี้ 90% หรือหากจะพูดให้ชัดกว่านี้อีกคือ บาเยิร์น เป็นทีมที่มีโอกาสเป็นแชมป์ 90% ด้วยศักยภาพของผู้เล่นในทีม ส่วนที่จะผันแปรในฤดูกาลนี้คือการเข้ามาของ คาร์โล อันเชล็อตติ

แต่ถ้ามองให้กว้าง บุนเดสลีกา ยังมีทีมน่าดูอีกหลายทีมนะครับ


“ห้างขายยา” ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ที่จบอันดับ 3 ในฤดูกาลที่แล้ว ก็เป็นทีมที่ได้ใจคนดูไปมากด้วยความมันในการเล่น และมีทีเด็ดจาก “เจ้าถั่วน้อย” ชิชาริโต้ เป็นเสน่ห์ประจำทีม

“สิงห์หนุ่ม” โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค อดีตยอดทีมในอดีตก็เริ่มกลับมาเป็นทีมระดับท็อปของประเทศ ปีนี้ถึงจะเสียกรานิต ชาก้า และฮาวา์ด นอร์ดไวต์ ไปแต่พวกเขายังรักษา มามูด ดาฮูด เอาไว้ได้

และอีกทีมที่คลาดสายตาไม่ได้คือ “หมาป่า” โวล์ฟสบวร์ก ที่ยังรักษา ฌูเลียน แดรกซ์เลอร์ สตาร์ที่กำลังขึ้นหม้อในเวลานี้ แล้วเติมจอมเก๋าจ้าวเวหาอย่าง มาริโอ โกเมซ เข้ามา

ทีมเก่าทีมแก่อย่าง โคโลญจน์, ฮัมบวร์ก, แวร์เดอร์ เบรเมน เองก็มี “สตอรี่” เรื่องราวของตัวเองที่น่าติดตาม เช่นกันกับทีมน้องใหม่ โดยเฉพาะ เรดบูล ไลป์ซิก ที่ถือว่า “ไม่ธรรมดา” ทีมหนึ่งในเรื่องเบื้องหลัง

บุนเดสลีกา ไม่ได้มีแค่ 2 เสือเท่านั้นครับ

ลีกเมืองเบียร์มีอะไรมากกว่านั้นอีกมาก ซึ่งติดตามเรื่องราวของพวกเขาได้ตลอดปีและตลอดไปจากปลายปากกาของพี่อ้วน “เพลย์เมคเกอร์” ได้เหมือนเดิมทาง “ฮอตสกอร์” ครับ

นิทานลูกหนัง
by ลูกแม่กิ่ง (lookmaeking@hotmail.com)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook