สื่อเวียดนามพาดหัวข่าวแรง "ไทยคู่ควรหรือแค่ฟลุ๊คในโอลิมปิก?"

สื่อเวียดนามพาดหัวข่าวแรง "ไทยคู่ควรหรือแค่ฟลุ๊คในโอลิมปิก?"

สื่อเวียดนามพาดหัวข่าวแรง "ไทยคู่ควรหรือแค่ฟลุ๊คในโอลิมปิก?"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในโอลิมปิก ริโอ 2016 เราได้เห็นความสำเร็จของตัวแทนจากประเทศไทย ด้วยการคว้า 6 เหรียญ โดยมีเหรียญทองอยู่ในนั้น 2 เหรียญ คำถามคือ พวกเค้าสมควรได้รับมันจริงๆ หรือว่าแค่ฟลุ๊คกันแน่?

ในริโอ (บราซิล), สองนักยกน้ำหญิงของไทย โสภิตา ธนสาร และ สุกัญญา ศรีสุราช คว้าเหรียญทองกลับบ้านในกีฬายกน้ำหนักรุ่น 48 กก. และ รุ่น 58 กก.

สำนักข่าวรอยเตอร์เคยให้ความเห็นว่าการที่ โสภิตา ธนสาร ได้รับเหรียญในรุ่น 48 กก. เป็นเรื่องง่าย ไม่มีอุปสรรคใดๆ เพราะนักกีฬาจากจีนอย่าง Hou Zhihui ไม่ได้เข้าร่วมแข่งขันเพราะมีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าและยังไม่หายดี รวมไปถึง Vương Thị Huyền (เวียดนาม) ก็มีอาการบาดเจ็บเช่นกัน ซึ่งทั้งคู่ต่างเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของนักกีฬาหญิงไทย

และเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาทางสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติได้แบนนักกีฬาจากรัสเซีย เบลารุส และคาซัคสถาน จากปัญหาการตรวจเจอสารกระตุ้น จึงเป็นที่น่าเสียดายที่ด้วยเหตุนี้มันทำให้เหรียญทองของ โสภิตา ธนสาร ในรุ่น 48 กก. นั้นไม่ได้มีราคาแพงมากนัก
 
มันคือความจริง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะจากการวิเคราะห์ของบางกอกโพสต์ บอกว่าผลงานของทีมยกน้ำหนักไทย เป็นผลของการทำงานอย่างหนักและการวางกลยุทธ์อย่างชาญฉลาดของ พลตรีอินทรัตน์ ยอดบางเตย ที่ปรึกษาของสมาคมยกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ที่ได้วางแผนและเตรียมการเพื่อการแข่งขันโอลิมปิกมาอย่างยาวนาน

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากการทำงานอย่างเป็นระบบและรอบคอบ หลักฐานที่จัดเจนที่สุดคือผลงานของ โสภิตา ธนสาร ที่เปลี่ยนรุ่นการยกน้ำหนักจาก 53 กก. มาเป็น 50 กก. และเก็บตัวอย่างเงียบๆ เพื่อลงแข่งในรุ่น 48 กก. ซึ่งไม่มีข่าวการการเก็บตัวเผยแพร่ที่ไหนเลย

“เธอมีเคล็ดลับในการออกกำลังกายเพื่อให้น้ำหนักอยู่ในระดับ 48 กก. เรามีความเชื่อมั่นอย่างมากในนักกีฬาหญิง แต่เราก็ไม่ได้ต้องการทำให้มันเป็นเรื่องราวใหญ่โต” พลตรีอินทรัตน์ ผู้มีส่วนในความสำเร็จครั้งนี้กล่าวว่าทุกอย่างดำเนินการกันอย่างเงียบๆ เพื่อให้ โสภิตา ธนสาร จะได้ไม่ตกอยู่ในความกดดันใดๆจากสาธารณะชน นอกจากนี้ในรุ่น 48 กก. ก็ไม่มีผู้เข้าแข่งขันที่แข็งแกร่งหน้าใหม่เพิ่มเข้ามา ทำให้โอกาสการคว้าเหรียญของไทยจึงมีโอกาสสูงขึ้น

แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการเตรียมตัวของทัพยกน้ำหนักไทยที่จะไปแข่งที่อเมริกาใต้(บราซิล) ได้ส่งนักกีฬาไปเก็บตัวทั้งหมด 9 คน แต่มีเพียง 7 คนเท่านั้นที่ถูกเตรียมพร้อมสำหรับโอลิมปิก “เราไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับกลยุทธ์นี้ ในความจริงคือเรามีนักยกน้ำหนัก 7 คนที่มีโอกาสคว้าเหรียญ แม้ในครั้งนี้จะได้เพียง 4 เหรียญ คือ 2 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดง แต่ผมก็ยังมองว่าเราประสบความสำเร็จแล้วหล่ะ” พลตรีอินทรัตน์ กล่าว

และจากกรณีที่คณะกรรมการโอลิมปิกสากลได้ตรวจพบการใช้สารกระตุ้นในนักกีฬาของชาติอื่นๆ ยิ่งทำให้ไทยมีโอกาสในการคว้าเหรียญเพิ่มขึ้นไปอีกมาก และด้วยผลงานของทัพนักกีฬาไทยในโอลิมปิก ริโอ 2016 ถือว่าประสบความสำเร็จมากเมื่อเทียบกับ โอลิมปิก ลอนดอน 2012 ปีนี้ถือว่าเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ไทยไม่สามารถคว้าเหรียญทองได้เลย

หลังจากการแข่งขันโอลิมปิก 2016 จบลง คนไทยมีความปิติยินดีกับความสำเร็จของทัพนักน้ำหนักไทย สำนักข่าวเนชั่นรายงานว่า มีคนมารอกันเป็นชั่วโมงเพื่อรอต้อนรับนักกีฬากลับสู่ประเทศ ผู้ชนะในริโอต่างเป็นวีรบุรุษของชาติ

โสภิตา ธนสาร กล่าวว่า “ที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ต้องขอบคุณทุกคน และจะฝึกซ้อมเพื่อกลับมาป้องกันแชมป์ให้ได้ใน 4 ปีข้างหน้า” ในขณะเดียวกัน พลตรีอินทรัตน์ เปิดเผยว่าทีมยกน้ำหนักไทย เริ่มดำเนินงานตามแผนเพื่อพิชิตเหรียญทองในโอลิมปิกโตเกียว 2020 แล้ว

จากข้อมูลทั้งหมดนี้ได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าไทยแลนด์ไม่ใช่แค่เพียงโชคดีเท่านั้น แต่พวกเค้าคู่ควรและสมควรแล้วกับเหรียญทองโอลิมปิกในปีนี้

บทความแปลนี้ไม่ได้แปลจากผู้ที่เชียวชาญทางภาษาโดยตรงแต่เป็นเพียงการแปลจากโปรแกรมอัตโนมัติดังนั้นจึงอาจจะไม่ถูกต้องและครบถ้วนทั้งหมดดังนั้นผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่านและหากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ
ที่มา : http://www.teamthailand.in.th/?p=12405
แปลและเรียบเรียงโดย TeamThailand.in.th

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook