เปิดด้วย "หงส์" จบด้วย "ผี"

เปิดด้วย "หงส์" จบด้วย "ผี"

เปิดด้วย "หงส์" จบด้วย "ผี"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เลือกตั้งชื่อเรื่องแบบนี้เพราะอยากให้การ “บิ้วท์อัพ” เกมแดงเดือด ระหว่าง ลิเวอร์พูล - แมนฯยูไนเต็ด วันที่ 18 ต.ค. หรือนัดที่ 8 ของฤดูกาลเป็นไปอย่างสมศักดิ์ศรีที่สุด

และก็ให้บังเอิญเช่นกันว่า พรีเมียร์ลีก นัดที่ 3 วันเสาร์จะประเดิมคู่หัวค่ำ 18.30 น.ด้วยแมตช์ สเปอร์ส เปิดบ้านรับลิเวอร์พูล และปิดท้ายด้วยแมนฯยูไนเต็ด ไปเยือนฮัลล์ ซิตี้

ก็ “เข้าข่าย” เปิดด้วยหงส์จบด้วยผี นั่นแหละครับ ขณะที่เนื้องานก็คงต้องยอมรับด้วยเช่นกันว่า ทั้ง 2 แมตช์นี้คั่นด้วยคู่มาตรฐานเตะ 3 ทุ่มอีก 6 เกมเป็น 2 เกมคู่เอกประจำวัน หรือประจำนัดที่ 3 เลยก็ว่าได้

ประเด็นของสเปอร์สตอนนี้คือ พวกเค้าเป็นทีมระดับ “แชมเปี้ยนส์ ลีก” เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาที่จบด้วยอันดับ 3 แบบคู่ควรอันดับ 2 ด้วยซ้ำ

การเติมทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ก็ถือว่า เติมตัวที่ใช้งานได้เลย และเป็นที่ต้องการจริง ๆ อย่าง วิคเตอร์ วันยาม่า และวินเซนต์ แยนเซ่น ที่เป็นกลางรับ และดาวซัลโว มาร่วมทีม

ขณะที่ไม่ได้เสียตัวหลักไปเลย และได้กระจายตัวไม่ต้องการออกหลายคนเพื่อให้ทัพนักเตะไม่เยอะ หรือ “อ้วน” เทอะทะจนเกินไป

อย่างไรก็ดีครับ สเปอร์ส ที่มีนักเตะติดทีมชาติระดับตัวจริงอยู่หลายคนก็ไม่ต่างกับทีมอย่าง อาร์เซนอล ที่นักเตะหลักยังไม่ฟิต 100% หรือยังมีสภาพบาดเจ็บตกค้าง


ฮูโก้ ญอร์ริส เล่นในเกมแรกกับเอฟเวอร์ตันยังไม่ทันเต็ม “ครึ่งแรก” ก็เจ็บ ขณะที่ตัวอื่น ๆ ก็มี มุสซา เดมเบเล่ ในทีมที่มี “แกน” เป็นนักเตะทีมชาติอังกฤษ ชุดปัจจุบันที่ยังอาจ “แฮงค์” จากยูโรที่ผ่านมาครับ

ไคล์น วอล์คเกอร์, แดนนี่ โรส, เอริค ดายเออร์, เดเล่ อัลลี และแฮร์รี เคน คือ เกรด “ตัวจริง” ของ รอย ฮอดจ์สัน เลยนะครับ

ผสมผสานกับ แยน แฟร์ตองเก้น และโทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ (และเดมเบเล่) ที่เป็นกำลังสำคัญของทีมเบลเยียม

โดยเกมนี้ สเปอร์ส ที่ไม่ต้องเตะคัดเลือก “ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก” และไม่ต้องเตะ แคปิตัล ลีก คัพ ด้วยในฐานะที่เป็นทีมได้สิทธิ์เตะบอลยุโรปจะมี “ความสด” มากกว่าหงส์แดง ที่กลางสัปดาห์ถล่มเบอร์ตัน อัลเบี้ยน ยับ 5-0

โดย ซาดิโอ มาเน่ ดาวเด่นจากเกมอัดอาร์เซนอล นัดแรก 4-3 แต่ไปเจ็บหัวไหล่เล่น่เกมแพ้เบิร์นลีย์ 0-2 ไม่ได้กลับมาสร้างอันตรายอย่างยิ่งยวดให้กับ เยอร์เก้น คลอปป์

ครับ หากไม่นับ “เกมรับ” ที่ยังคงต้องปรับปรุงต่อไป แม้จะได้ รัดนาร์ คราวาน ที่ก็กลายเป็น “ปัญหา” เสียเองในเกมที่ผ่านมาจากการสกัดไม่ขาด หรือไม่เข้าตัดบอล แต่เลือกใช้วิธีจด ๆ จ้อง ๆ

เกมรุกลิเวอร์พูล ถือว่า “จบข่าว” เพราะที่ผ่านมาก็ค่อนข้างดีอยู่แล้ว แต่พวกเค้าขาดเพียงสปีดบอล หรือความ “ไดเร็กต์” หรือก็คือความตรงไปตรงมาแบบที่ซาเน่ “นำเสนอ”


ที่ผ่านมาจะได้เห็นการ “ต่อบอล” ครองบอลสวยงาม แต่ขาดประสิทธิภาพในจังหวะสุดท้าย เฉพาะอย่างยิ่งใน “แดนสุดท้าย” หน้าประตูคู่แข่งที่เรียกว่า “Final Third”

ซาเน่ ก็ไม่ต่างจาก ดักลาส คอสต้า ของบาเยิร์นฯ ที่สามารถเปลี่ยนเกมได้ด้วยตัวคนเดียวจนตอนนี้ ลิเวอร์พูลจะเสมือนขาดดาวเตะจรวดจากเซเนกัล รายนี้ไม่ได้แล้ว

อีกจุดของหงส์แดงที่ยังไม่ลงตัว คือ แบ็คซ้าย เพราะทั้งเจมส์ มิลเนอร์ (ถนัดขวา) หรืออัลแบร์โต้ โมเรโน่ ต่างมีข้อเสียที่ “รับไม่ได้” คนละอย่างสองอย่าง

ลิเวอร์พูลจึงยังดูไม่ลงตัว แต่กุนซือเยอรมันก็ยัง “เน้นย้ำ” ครับว่า จะไม่ตื่นตระหนกรีบซื้อใครในช่วงเวลาที่เหลือของตลาดนักเตะ

ปิดท้ายที่เกม 5 ทุ่มครึ่งครับ

ประเด็นคู่นี้ “เหลือเชื่อ” ว่ากลายเป็นการเจอกันของ 2 ทีมที่ชนะรวด 100% หลังฮัลล์ ซิตี้ เปิดรังปราบเลสเตอร์ 2-1 และบุกชนะสวอนซี 2-0 (ไม่นับ ลีก คัพ ที่บุกชนะเอ๊กเซเตอร์ 3-1

บอกได้คำเดียวว่า “ไม่ธรรมดา” ท่ามกลางสถานการณ์ “แพแตก” สตีฟ บรู๊ซ ชิ่งหนีทีมไป และต้องอาศัยฝีมือ ไมค์ ฟีแลน อดีตทีมโค้ช แมนฯยูไนเต็ด ยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สร้างแรงจูงใจ

และถือว่า ทำได้ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถ “จินตนาการ” ได้เลยกับทีมที่พิกลพิการ


ตรงกันข้าม โจเซ่ มูรินโญ่ ตอนนี้มี “สรรพกำลัง” ครบครันแล้วหลังจาก พอล ป๊อกบา ลงสนามมาเติมเต็ม “จิ๊กซอว์” ใน 11 คนแรกของเค้าที่ต้องสรุปว่า “ลงตัว” อย่างรวดเร็ว

ต้องชมเชย “น้ามู” ที่วางเกมรับใช้ ดาวิด เด เกอา, เอริค บาญี่, ลุค ชอว์ และ อันโตนิโอ วาเลนเซีย เป็นแกนมาตั้งพรีซีซั่น

เดลีย์ บลินด์ ก็ไม่ได้ขี้เหร่ แม้จะยังรอ คริส สมอลลิ่ง ให้สมบูรณ์ก็ตาม

โดยชัยชนะใน 2 แมตช์แรก และซลาตัน อิบราฮิโมวิช ยิง 3 จาก 2 นัดเหนือบอร์นมัธ และเซาแธมป์ตัน จัดเป็นเกมที่ “สมบูรณ์” ของทีมปิศาจแดง

ถึงตอนนี้ แม้จะเพิ่งผ่านแค่ 2 เกม แต่แววมยุราเริ่มออกแล้วว่า ทีมปิศาจแดง ยุคมูรินโญ่ นั้นคือแคนดิเดทแชมป์ของจริง

ประเด็นถัดจากนี้คือ การ “ผสมทีม” ให้ยิ่งกลมกล่อม หรือลองวางผู้เล่นอื่น ๆ ลงตำแหน่งต่าง ๆ เช่น สมอลลิ่ง แทนบลินด์

มาร์คัส แรชฟอร์ด หรือเจสซี ลินด์การ์ด ในส่วนเกมรุก หรือตัวยืนคู่ พอล ป๊อกบา ในแดนกลาง เป็นต้น

เพื่อจะได้เป็นทีมที่ยิ่งดีขึ้นจากที่ดีอยู่แล้ว และเพื่อ “ระยะยาว” จะได้มีแผนสำรองไว้รองรับ

เช่นเดียวกับ ลิเวอร์พูล ซึ่งจะเจอกันในเกมที่ 8 ที่ก็ต้องหาวิธีมีชีวิตอยู่ให้ได้โดยปราศจาก เฟลิเป้ คูตินโญ่ หรือซาดิโอ มาเน่ หรือแก้ปัญหาเกมรับให้จงได้ครับ

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook