เปิดครัวช้างศึก : "เมื่อปากท้องส่งผลถึงฟอร์มในสนาม"

เปิดครัวช้างศึก : "เมื่อปากท้องส่งผลถึงฟอร์มในสนาม"

เปิดครัวช้างศึก : "เมื่อปากท้องส่งผลถึงฟอร์มในสนาม"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นอกจากแท็กติกของโค้ช, ความพร้อมของนักเตะ และการทำงานหนักในระหว่างฝึกซ้อม อีกสิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่งผลต่อความสำเร็จของทีมชาติไทยคือเรื่องอาหารการกิน และนี่คือเรื่องราวหลังครัวเกี่ยวกับโภชนาการของทัพช้างศึกก่อนลุยฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย

ทีมชาติไทยชุดใหญ่ อยู่ระหว่างเก็บตัวที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนออกไปเยือน ทีมชาติซาอุดิอาระเบีย ในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย วันที่ 1 กันยายนนี้

แน่นอนว่าในการแข่งขันฟุตบอล สิ่งที่จะนำพาไปสู่ชัยชนะ หลายคนต่างจับจ้องไปที่การเตรียมความพร้อมที่ต้องดี แท็คติกยุทธวิธีการณ์ต่างๆ รวมถึงศักยภาพเรื่องตัวผู้เล่น ทว่าแท้จริงแล้วยังมีอีกหลายองค์ประกอบที่ต้องให้ความสำคัญ

เช่นเดียวกับการเข้ามานั่งแท่นผู้จัดการทีมชาติไทยของ ขจร เจียรวนนท์ ที่เล็งเห็นความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องอาการการกินของเหล่านักเตะระหว่างเดินทางมายังต่างประเทศ ว่าควรรับประทานในรูปแบบไหนเพื่อให้ร่างกายพร้อมสมบูรณ์เต็มที่ จึงได้ดึงตัว “กุ๊ก” จากประเทศไทย มาดูแลโดยตรงซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับทีมชาติไทย

“พอผมได้ตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติไทย ผมก็ได้ศึกษาว่าทีมอื่นกับทีมเราแตกต่างกันตรงไหน แน่นอนว่าเราต้องการให้ทีมมีความพร้อมมากกว่าทีมอื่นๆหรือเท่าเทียมเขา เพราะการเข้ารอบครั้งนี้สำคัญมาก มันใกล้เคียงที่สุดสำหรับคำว่าฟุตบอลโลกขจรเกริ่น

“หลังจากศึกษามาแล้ว แน่นอนว่าเรื่องโภชนาการสำคัญมาก เดิมทีเราวางแผนจะมีทั้งนักโภชนาการและกุ๊กมาด้วย โดยนักโภชนาการก็จะมาศึกษานักเตะแต่ละคนเลยว่าใครขาดอะไรหรือต้องเพิ่มอะไรในระบบโภชนาการ และนักโภชนาการก็จะมาคุยกับทางกุ๊กว่านักเตะเราควรทานอะไร”

“แต่จากการพูดคุยกับแต่ละสโมสรก็ทราบมาว่า แต่ละทีมมีนักโภชนาการคอยดูแลนักเตะอยู่แล้ว เราก็เลยไม่ได้เอานักโภชนาการมา แต่พากุ๊กมาจากประเทศไทยมาด้วย ซึ่งจะคอยประสานกับทั้งนักเตะ สตาฟฟ์โค้ช รวมถึงคุณหมอของทีม ว่านักเตะของเราควรจะกินอะไร ทั้งก่อนเกม ระหว่างเกม และหลังเกม”

นอกจากต้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติของอาหารแล้ว ผู้จัดการทีมวัย 49 ปี ก็ยังมองว่าการที่ต้องทำให้รสชาติถูกปากนักเตะสำคัญไม่แพ้กันเพราะ “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง” ก่อนออกสู่สมรภูมิรบในสนามหญ้า

“การกินถือเป็นเรื่องสำคัญของร่างกาย แต่ละประเทศเรื่องอาหารก็จะไม่เหมือนกัน ฉะนั้นเราก็จะให้กุ๊กเป็นคนดูแลว่านักเตะควรทานอะไร แล้วก็ต้องดูว่าอาหารทานแล้วเข้ากับบรรยากาศของแต่ละประเทศมั้ย เราต้องการให้นักเตะรู้สึกว่าอร่อยและดีต่อสุขภาพด้วย เราพยายามดูแลให้ดีที่สุด ทุกทีมมี เราต้องมี”

“อาหารก่อนเกมต้องดูว่าควรมีแป้งเท่าไหร่เพื่อให้นักเตะอึดขึ้น หลังเกมก็ต้องดูว่าทานอะไรเพื่อที่จะได้ซ่อมแซม ซึ่งก็คือโปรตีน หรือระหว่างที่ซ้อม เกลือแร่ที่ขาดไปเราจะเสริมยังไง เราต้องการทำให้เด็กฟิตที่สุด”

ขณะที่ทางด้าน ปาริฉัตร์ ธนากรภักดี กุ๊กที่ถูกดึงตัวมาจากประเทศไทย แม้จะไม่ได้เรียนจบหลักสูตรเรื่องนี้มาโดยตรง แต่ก็รักการทำอาหารมาตั้งแต่อายุ 8 ปี ศึกษาเรื่องนี้อย่างช่ำชอง เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง เคยมีประสบการณ์ดูแลอาหารให้ผู้คนมาแล้วหลากหลายวงการ โดยเฉพาะการได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าบริษัทใหญ่ๆ อาทิ สายการบินไทย, บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือจะเป็นการทำอาหารประกอบโฆษณาบริษัทไทย เบฟเวอเรจ จำกัด ที่เผยแพร่ไปทั่วโลก รวมถึงสโมสรฟุตบอลแบงค็อก ยูไนเต็ด อีกทั้งยังเคยเป็นคนดูแลเรื่องอาหารการกินให้ดาราศิลปินหลายรายโดยตรงมาแล้วด้วย

อย่างไรก็ตาม ปาริฉัตร์ ยอมรับว่าการดูแลอาการให้กับนักกีฬา โดยเฉพาะนักฟุตบอล แตกต่างจากงานที่ผ่านมาพอสมควร

“เรื่องการเตรียมวัตถุดิบต้องมีความละเอียดอ่อนมาก เพราะไม่สามารถให้นักกีฬาทานแบบคนปกติทั่วไปได้ อย่างเรื่องแหล่งโปรตีนต่างๆก็ต้องระวังเป็นพิเศษ อาจใช้เนื้อสัตว์ที่เป็นเนื้อแดงน้อยหน่อย แล้วใช้โปรตีนจำพวกที่เป็นอกไก่ แล้วก็ปลาหรือกุ้งเพื่อให้โปรตีนสูง ต้องเสริมเรื่องผัก ผลไม้ ผักใบเขียว ให้มีทุกมื้อ แต่มากไปก็ไม่ดีเพราะย่อยยาก”

รูปแบบการทำงานของ ปาริฉัตร์ จะเป็นคนคอยประสานกับเชฟชาวไทยคนหนึ่ง ที่ประจำอยู่โรงแรมเดอะ เวสทิน โดฮา ประเทศกาตาร์ สถานที่พักของทัพช้างศึก ว่าแต่ละมื้อควรจัดอาหารรูปแบบไหนให้กับนักกีฬา โดยสิ่งที่เน้นย้ำเป็นพิเศษคือต้องไม่ใช่อาหารที่มีไขมันหรือน้ำตาลสูง

“อาหารนักกีฬาฟุตบอลไม่ควรกินคือพวกไขมันสูงหรือน้ำตาลสูง นักกีฬาควรจะเน้นทานอาการที่เหมาะสมไม่ให้คาร์โบไฮเดรตหรือโปรตีนมากเกินไป ต้องให้สองอย่างนี้สมดุลกัน”

“มื้อก่อนซ้อมเราก็จะเน้นคาร์โบไฮเดรต ผสมโปรตีนนิดหน่อย เพราะคาร์โบไฮเดรตนั้นสามารถดึงมาใช้ให้เกิดพลังงานได้เต็มที่เลย ถ้าเป็นอาหารเช้าจะเน้นพวกที่มีสารอาหารต่างๆ ทำให้เกิดพลังงานสูง เพราะนักกีฬาใช้แรงเยอะ ต้องการประสิทธิภาพในการฝึกซ้อมและแข่งขัน”

“เรื่องอาหารมีผลมากๆต่อตัวนักกีฬา” ปาริฉัตร์สรุป

ส่วน ธนบูรณ์ เกษารัตน์ หนึ่งในผู้เล่นกำลังสำคัญของทีมชาติไทยในระยะหลัง ก็ยอมรับว่าถือเป็นเรื่องดีที่ต่อจากนี้ทัพช้างศึกจะมี “กุ๊ก” คอยดูแลเรื่องอาหารการกินทั้งหมด เพราะถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ไม่ควรมองข้าม

“แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากๆครับ เพราะขนาดคนปกติยังต้องการทานอาหารที่มีประโยชน์ ฉะนั้นเรื่องนี้นักฟุตบอลก็ยิ่งต้องการ เพราะเราเองใช้พลังงานค่อนข้างเยอะ บางครั้งเหนื่อยๆมา เห็นอะไรก็หยิบกินตามใจปากโดยไม่คำนึงถึงผลเสีย”

“แต่พอมีกุ๊กที่คอยดูแลก็ทำให้เราไม่ต้องกังวล เพราะสิ่งที่เรารับประทานมั่นใจได้ว่าผ่านการคัดกรองมาแล้วว่ามีคุณสมบัติที่มีประโยชน์และเหมาะสมต่อตัวเรา ที่สำคัญยังทำให้เรามีพลังงานฝึกซ้อมในแต่ละมื้อ รวมถึงยังส่งผลดีต่อความฟิตด้วยครับ เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม และที่ผ่านมาเราก็รู้สึกว่าการทานอาหารที่ถูกต้องทำให้ร่างกายมีชีวิตชีวาอยู่ตลอด” ธนบูรณ์กล่าวปิดท้าย

ที่มา FA Thailand

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook