แมนเชสเตอร์ ส่งเสียงดัง!

แมนเชสเตอร์ ส่งเสียงดัง!

แมนเชสเตอร์ ส่งเสียงดัง!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อคืนวันอังคาร บรรดาทีมบิ๊กเนมทั้งหลายแหล่ ไม่พลาด ตบเท้าเข้ารอบฟุตบอลอีเอฟแอล คัพ หรือ ลีก คัพ ไม่ว่าจะเป็น เชลซี, อาร์เซนอล และลิเวอร์พูล

ส่วนไฮไลท์เมื่อคืนวันพุธ ก็ต้องเป็น 2 สีจากเมืองแมนเชสเตอร์ ที่ลงสนามโดยต้องออกไปเยือนทั้งคู่ ปรากฎว่า ทั้งสีฟ้าและสีแดง ไม่ทำให้ผิดหวัง เก็บชัยได้ตามคาด

เริ่มที่ฝั่งสีฟ้ากันก่อน ในการบุกไปเยือนสวอนซี ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีการโรเตชั่นนักเตะหลายคน โดย เคเลชี อิเฮียนาโช เป็นตัวเลือกในแดนหน้า และมีลีรอย ซาเน, เซซุส นาบาส รวมถึงอเล็กซ์ การฺ์เซีย คอยสนับสนุน   

ส่วนเจ้าบ้าน “หงส์ขาว” เลือกใช้ บอร์ฆา บอสตัน ลงสนามเป็นนัดแรกให้ต้นสังกัดใหม่ของเขา ในขณะที่ขยับใช้ ไคล์ นอห์ตัน ขึ้นมาเป็นปีกซ้าย ส่วนเวย์น เราท์เลดจ์ เป็นปีกซ้าย

สาระสำคัญของเกมนี้ ครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ มาเหมือนเดิม ครองเกมบุกได้มากกว่าตามคาด แต่ด้วยความที่ผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นตัวสำรอง หรือไม่ค่อยได้เล่นด้วยกันมากนัก ทำให้มักจะมีปัญหาในพื้นที่สุดท้าย ขณะที่สวอนซีก็พยายามหาโอกาสสวนในจังหวะแย่งบอลได้บริเวณกลางสนาม แต่โดยภาพรวมก็ยังไม่มีโอกาสชัดเจนให้เห็นมากนักทั้ง 2 ทีม

มาถึงครึ่งหลัง เรือใบสีฟ้า ที่นวดอยู่นาน ก็มาได้ 2 ประตูสำคัญ ประตูแรก กาแอล กลิชี ตะลุยขึ้นมาจากแดนหลัง ก่อนจะสับไกด้วยเท้าขวา บอลแฉลบกองหลังเปลี่ยนทางเข้าไป ชนิดที่นายทวารเจ้าบ้าน หมดสิทธิ์ คำสร้อย ด้วยประการทั้งปวง  

ส่วนลูกสอง เฆซุส นาบาส เก็บบอลได้ทางกราบขวา ก่อนพักบอลกลับเข้ากลางให้ อเล็กซ์ การ์เซีย ซัดเข้าประตูไปอย่างเฉียบคม

แต่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ สวอนซีทำเสียวนิดหน่อย ไล่ตีตื้นมาเป็น 2-1 แต่ก็ไม่มีปัญหาสำหรับ ซิตี้ ในการผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

ซิตี้ ของเป๊ป ทำสถิติ 9 นัดติดต่อกัน ขณะที่ ยูไนเต็ด ต้องหาชัยชนะนัดแรกในรอบ 4 นัด เพื่อเรียกความมั่นใจกลับมาโดยด่วน  

มาดูฝั่งสีแดงกันบ้าง กับการบุกไปเยือนนอร์ทแธมป์ตัน ทาวน์ ในสถานการณ์ที่กดดันสุดๆ เพราะแฟนบอลจับตาดูว่า ทีมจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับนัดนี้ หลังปราชัยมา 3 นัดติด รวมทุกรายการ

ก่อนเกมนี้ มีข่าวว่า มีแฟนปีศาจแดงตาดีคนหนึ่ง ไปเห็นโชเซ่ มูรินโญ กำลังคุมลูกทีมลงซ้อมที่ลานจอดรถของซิกซ์ ฟิลด์ สเตเดียม สนามเหย้าของคู่แข่ง

น้ามู ตัดสินใจปรับทัพจากเกมพรีเมียร์ลีกนัดล่าสุดที่บุกแพ้วัตฟอร์ด 1-3 แบบเกือบยกชุดถึง 9 ราย เหลือเพียงแค่ คริส สมอลลิง และ เวย์น รูนีย์ ซึ่ง “เร้ด อาร์มี่” ประมาณ 99% เรียกร้องกันหนาหูว่า “ดร็อปกัปตันเถอะ”

สุดท้ายก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ กัปตันหมายเลข 10 ขึ้นไปยืนหน้าเป้าคอยทำเกมรุกร่วมกับ อันเดร์ เอร์เรรา, แอชลีย์ ยัง และ เมมฟิส เดปาย

ขณะที่โรเบิร์ต เพจ กุนซือเจ้าบ้าน ทีมอันดับ 11 ของลีกวัน นำทัพมาโดย เคนจิ กอร์เร ที่จะได้ลงดวลกับต้นสังกัดเก่า เนื่องจากเคยเป็นนักเตะเยาวชนของปีศาจแดงในช่วงปี 2002–2013 รวมถึง แม็ทธิว เทย์เลอร์ ปีกซ้ายจอมวอลเลย์ที่เคยสร้างชื่อกับสโมสรดังอย่าง พอร์ทสมัธ, โบลตัน หรือแม้กระทั่ง เวสต์แฮม มาแล้ว

เริ่มเกมมาเป็นยูไนเต็ดที่ครองบอลบุกเข้าใส่ทันที จนกระทั่งนาทีที่ 17 จากฟรีคิกสองจังหวะในกรอบเขตโทษ เดปาย ที่เขี่ยให้ รูนีย์ ยิงติดกำแพงมาเข้าทาง ไมเคิล คาร์ริค แปด้วยขวาเน้นๆ บริวเณหัวกะโหลกเข้าไปอย่างเด็ดขาด ส่งให้ปีศาจแดงบุกมานำ 1-0

ถึงแม้ว่า เกมของทีมเยือนจะยังดูเหนือกว่า แต่ดันเสียจุดโทษในช่วงท้ายครึ่งแรกนาทีที่ 42 จากจังหวะที่ ดาลีย์ บลินด์ ไปสกัดแซม ฮอสกิ้นส์จนล้มลงไป และเป็น อเล็กซ์ เรเวลล์ รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาด
 
เดอะ สเปเชี่ยล วัน อยู่เฉยไม่ได้ ต้องแก้เกม เปลี่ยนผู้เล่นแนวรุก 2 คนรวดในช่วง 10 นาทีแรก ของครึ่งหลัง โดยส่ง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช และ มาร์คัส แรชฟอร์ด

และเป็นเจ้าหนูแรซนี่เอง ที่แผลงฤทธิ์ แอสซิสต์จากริมกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายให้ อันเดร เอร์เรร่า ซัดด้วยขวาเต็มข้อบริเวณหัวกะโหลก ส่งบอลเรียดเสียบโคนเสาเข้าไปแบเฉียบคม ยูไนเต็ดนำอีกครั้ง 2-1

และอีกไม่กี่นาทีถัดมา เอร์เรร่า เตะสาดโด่งจากแดนตัวเองขึ้นไป แอสซิสต์คืนให้ แรชฟอร์ด ใช้ความเร็ววิ่งไปชิงฉกบอลตัดหน้า อดัม สมิธ นายทวารเจ้าของบ้าน ก่อนจะยิงโล่งๆ ด้วยขวาเข้าไป ส่งให้ปีศาจแดงหนีห่างเป็น 3-1 คลายความกดดันไปได้มากทีเดียว  

จบเกม ยูไนเต็ด บุกมาเอาชนะทีมลีกวันไปได้สำเร็จ ชนิดที่แฟนผี ต้องลุ้นเหนื่อยเลยทีเดียว

และเมื่อการแข่งขันรอบที่ 3 จบลง ก็ได้มีการจับสลากประกบคู่แข่งขันในรอบที่ 4 และต้องบอกว่า เป็นที่ฮือฮามากครับ เมื่อเกิดแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ในเวอร์ชั่น “ลีก คัพ” จนได้

โดยฝั่งสีแดง จะได้เป็นเจ้าบ้าน รับการมาเยือนของฝั่งสีฟ้า แข่งขันช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ แต่ตอนนี้ทั้ง 2 ทีม ก็จะต้องล่าแต้ม กับพรีเมียร์ลีก และถ้วยยุโรปไปก่อน    

ตอนนี้ต้องบอกว่า ซิตี้ ดูดีกว่า ยูไนเต็ด เยอะเลย แต่เมื่อวันนั้นมาถึง อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกฟุตบอล นะครับ ?!?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook