สกู๊ป : เจาะ "จุดอ่อน" เรือใบ

สกู๊ป : เจาะ "จุดอ่อน" เรือใบ

สกู๊ป : เจาะ "จุดอ่อน" เรือใบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บทความวันนี้น่าจะเป็น "ภาคขยาย" จากเมื่อวานนะครับที่ผมเขียนเรื่อง "5 กลยุทธ์ปราบแมนฯ ซิตี้" โดยได้ทำบทสรุปไว้ 5 กลยุทธ์ดังนี้ครับ :

1.ต้องไม่กลัวศักดิ์ศรี "เป๊ป" และเด็กๆ
2.กดดันแนวรับ และบีบ "บราโว่"
3.จะ "รับต่ำ" หรือเพรสซิ่งสูง ให้เลือกเอา
4.นักเตะหมายเลข 12 ต้องเกิน 100%
5.สวดมนต์ให้เป็นวันของเรา ไม่ใช่ของเค้า

ประเด็นที่ผมไม่ได้อยากจะโม้อะไรมากก็คือ เริ่มมี "บทความ" จากสื่อผู้ดีในทิศทางเดียว เช่น วันนี้ผมอ่านเจอจาก "เดลี่ เดเลกราฟ" เจอคุณ เจมส์ ดัคเกอร์ ที่ได้สรุปแนวทางการเล่นกับแมนฯ ซิตี้

อ้างอิงจากผลงานอันยอดเยี่ยมของ กลาสโกว์ เซลติก ที่ทำได้ดี มาประยุกต์อธิบายความเสมือนแนะแนวให้สเปอร์สของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ได้เตรียมการก่อนเกม "ซูเปอร์ซันเดย์" นี้

หลักๆจากข้อเขียนของคุณดัคเกอร์ได้เน้นไปที่ข้อ 2 และข้อ 3 ข้างต้น แต่ข้อ 3 ในหัวข้อจะ "รับต่ำ" หรือ "เพรสซิ่งสูง" ผู้สื่อข่าว "เดลี เทเลกราฟ" เลือกพูดถึงเฉพาะ การเพรสซิ่งสูงของเด็กๆ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

พร้อมยกหลากหลายสถิติที่น่าสนใจมาฝาก เช่น ก่อนหน้านี้ 9 นัดในพรีเมียร์ลีก และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แผงหลัง 4 ตัวของซิตี้ ผ่านบอลประสบความสำเร็จเป็นตัวเลขเฉลี่ย 87.27%

ขณะที่ ในแมตช์ที่เซลติก ปาร์ค สามารถทำได้เพียง 80.17% โดยหากนับแค่ 3 ตัวที่พลาดสูงสุด พาโบล ซาบาเลต้า, นิโคลัส โอตาเมนดี้ และอเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ แล้ว

ทั้ง 3 คนทำยอดผ่านสมบูรณ์ได้ต่ำกว่า 80% ด้วยซ้ำ

น่าสนใจใช่ไหมครับ เพราะก็อย่างที่ผมบอกเมื่อวานว่า เซลติก เล่น High Pressing โดยทิ้ง สกอตต์ ซินแคลร์ ปักหมุดใส่ พาโบล ซาบาเลต้า ทางกราบซ้าย, เดมเบเล่ คอยกดดันคู่เซนเตอร์ฯตรงกลางโดยมี เจมส์ ฟอร์เรสต์ บีบทางฝั่งขวา

ขณะเดียวกัน หากจะเสริมให้มากกว่านั้นคือ เฟอร์นันดินโญ่ ที่เล่นเป็น "1" กองกลางตัวรับในระบบ 4-1-4-1 ยังจะโดนบีบเร็วด้วยเช่นกัน

ไม่นับ เคลาดิโอ บราโว่ ที่เตรียมโดนชาร์จทันทีที่อยู่กับบอล และทำให้เปอร์เซนต์การจ่ายบอลสำเร็จหล่นมาที่เพียง 72.73 น้อยกว่าเกมล่าสุดกับสวอนซีที่ทำได้ 84.21% อยู่มิใช่น้อย

นั่นน่าจะวิเคราะห์ได้ว่า บราโว่ ถูกกดดันให้ต้องเตะยาวทิ้งไปข้างหน้าบ่อยๆครับ

กลยุทธ์เช่นนี้โดยร็อดเจอร์สถือได้ว่าเป็น "ครั้งแรก" ที่มีคู่แข่งหาญกล้าทำกับ แมนฯ ซิตี้ หลัง 10 นัดแรกในฤดูกาลในทุกถ้วยที่ทีมเรือใบสีฟ้าสร้างสถิติชนะรวด

และคู่แข่ง "ทั้งหมด" ล้วนตั้งรับต่ำ รอโดนกระทืบในแดนตัวเองก่อนจะแพ้ภัยกันไปหมด

ฉะนั้น พอมาโดนเล่นเกมหนามยอกเอาหนามบ่งแค่นัดเดียวแล้วถึงกับ "สะดุ้ง" มีโดนนำก่อน 3 ครั้ง 3 ครา จึงจัดว่างานนี้มี "สะเทือน" ครับ

เพราะมันเหมือนจู่ๆมีใคร มีบางทีมมาจี้ "จุดอ่อน" ที่ไม่มีทีมใดก่อนหน้านี้นึกถึง หรือกล้าแม้แต่จะคิด

ฟุตบอลเองก็ไม่ต่างจาก "มวย" เพราะหากต่อยตี ต่อยสวย หรือครองบอลได้เยอะ สร้างสรรค์โอกาสได้มากเพียงใด

แต่หาก "คางเปราะ" หรือ "ท้องไม่แข็ง" รับรองว่า มีสิทธิ์โดนน็อคได้ทุกเมื่อ เหมือนกับที่เซลติกทำได้ 3 ครั้ง 3 คราเหนือแมนฯ ซิตี้

เกมนี้ก็เช่นกันครับ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ จะได้สิทธิ์พาลูกทีมเล่นในบ้าน ไวท์ ฮาร์ท เลน และด้วยสไตล์เป็นทีมรุกอยู่แล้ว แถมเล่นต่อหน้าแฟนๆ

ทีมตราไก่จึงน่าจะมีแรง "จูงใจ" อย่างมากในแมตช์นี้ที่แม้ แมนฯ ซิตี้ จะเตรียมดึง จอห์น สโตนส์ กลับมาเป็นตัวจริง และสร้างเกมจากแนวรับอีกครั้ง

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า สเปอร์สจะไม่มีสิทธิ์ทำได้ดีกว่า เซลติก 1 ขั้น

นอกจากนี้ อีก 1 บทเรียนที่เซลติก และร็อดเจอร์สได้ทิ้งไว้ให้ทีมต่างๆที่จะเจอกับซิตี้ คือ การเจาะให้เห็นว่า การป้องกันลูกฟรีคิกของทีมเรือใบสีฟ้ามีช่องโหว่

แนวรับเรือใบจะรับ "ไลน์สูง" และทำให้เสียประตูแรกให้เซลติก เพราะร็อดเจอร์สจะใช้กองหน้าไปค้ำไว้ในตำแหน่งที่อาจออฟไซด์

ทว่าบอลจะโยนไปด้านลึกเสาไกลให้ตัวเติมจากแถวสองที่ไม่ล้ำหน้าพุ่งเข้ามาแล้วเปิดให้ มุสซ่า เดมเบเล่ ใช้อกแตะบอลเข้าประตูไป

อย่างน้อยๆครับ ตอนนี้ ซิตี้ มี "จุดอ่อน" 2 ข้อแล้ว และหากสเปอร์ส เรียนรู้จากเซลติกดีๆ ผมเชื่อว่า เกมจากไวท์ ฮาร์ท เลน วันอาทิตย์นี้ จะไม่ใช่แค่เกมที่มันส์ที่สุดของ 2 ทีมที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกตอนนี้

ทว่ายังอาจได้เห็นอะไรดีๆ แบบที่คาดไม่ถึงอีกด้วยครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook