สกู๊ป : 1 ปี "คล็อปป์" ของ "เดอะ ค็อป"

สกู๊ป : 1 ปี "คล็อปป์" ของ "เดอะ ค็อป"

สกู๊ป : 1 ปี "คล็อปป์" ของ "เดอะ ค็อป"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

8 ตุลาคม 2015 นับเป็นวันประวัติศาสตร์ ของชายชาวเยอรมันคนหนึ่ง สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามาเหยียบสนามแอนฟิลด์ พร้อมเสียงไชโยโห่ร้องของเด็กหงส์ทุกหมู่เหล่า

ชายผู้นั้นคือ เจอร์เก้น นอร์เบิร์ต คล็อปป์ เข้ามาแทนที่ของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส โค้ชนักวิชาการ ผู้พาทีมเกือบเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก

การเข้ามาของคล็อปป์ สร้างความหวังให้กับ “เดอะ ค็อป” ทั่วโลก พวกเขาคิดว่า เขาคนนี้แหละ คือโค้ชที่จะทำให้ ลิเวอร์พูล ยุติการรอคอยแชมป์ลีกสูงสุด ที่เด็กหงส์รอจนเหงือกแห้งมาเกือบ 30 ปี

แล้ว 1 ปีที่ผ่านไป ในยุคคล็อปป์ มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงบ้าง?

หนึ่ง กุนซือแนวร็อค ผู้เคยโค่นอำนาจความยิ่งใหญ่ของ บาเยิร์น มิวนิค เข้ามาพร้อมกับวิธีการเล่น ที่ทำให้แฟนหงส์เป็นที่รู้จักไปทั่ว นั่นคือ “เกเก้น เพรสซิ่ง”

 

ตอนที่คล็อปป์มาใหม่ๆ หลังจากรับงานต่อจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ลิเวอร์พูลนักเตะไม่ชินกับสไตล์ "เกเก้น เพรสซิ่ง" ของเขา นั่นทำให้เหล่าสตาร์นัดกันบาดเจ็บยาวเป็นหางว่าว เรียกว่าทยอยกันเข้าโรงหมอเลย แต่พอเริ่มปรับตัวได้สักระยะหนึ่งทุกอย่างเริ่มอยู่ตัว

แม้ว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะออกมา “แตะเบรก” มองว่าไม่มีทางที่ผู้เล่นจะทำอย่างนี้ได้ทุกเกม ทว่าในฤดูกาลนี้หงส์แดงไม่มีโปรแกรมถ้วยยุโรป ก็ทำให้พวกเขาได้เปรียบเรื่องสภาพร่างกาย

เราจะเห็นเลยว่าสไตล์การ “เพรสซิ่ง” วิ่งไม่มีหมดของคล็อปป์นั้น เป็นการทำลายสถิติวิ่งรวมทั้งทีมตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกด้วย หลังทุกคนวิ่งรวมกันถึง 117.6 กิโลเมตร ซึ่งที่จริงสถิตินี้ยังน้อยกว่าตอนที่คล็อปป์คุมดอร์ทมุนด์โดยตั้งเป้าให้วิ่งรวม 120 กิโลเมตรต่อเกมในทุกๆนัดด้วย

สอง คล็อปป์ ส่งสัญญาณเตือนลูกทีมว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จะต้องเจอการซ้อมอย่างหนัก วันละ 3 เซสชั่น ไม่สนกับคำทัดทานว่าอาจทำให้ลูกทีมบาดเจ็บ

เจ้าตัวมองว่าการซ้อมที่หนักหน่วงเท่านั้น จะทำให้ทีมแข็งแกร่งขึ้น นี่แหละสไตล์ของคนเยอรมัน ที่ทำงานหนัก ไม่ยอมแพ้ ไม่รอคอยโชคชะตา เป็นนิสัยที่เราอดชื่นชมไม่ได้จริงๆครับ
 
ลิเวอร์พูล เริ่มต้นฤดูกาลนี้ได้ดีมาก มีลุ้นถึงแชมป์ได้เลย

และเมื่อสัปดาห์ก่อน คล็อปป์ เปิดเผยอนาคตของตัวเองกับสื่อท้องถิ่นว่า จะเลิกคุมทีมตอนอายุ 60 ปี

"ผมจะกลับไปอยู่ที่เยอรมัน แต่ผมไม่รู้ว่าผมจะกลับเยอรมันในฐานะโค้ชหรือเปล่า ผมยังไม่มีแผนที่สร้างความรำคาญให้กับคนอื่นที่ไม่อยากให้ผมอยู่รอบๆในช่วงปลายอาชีพคุมทีม"

"ถ้า ไมนซ์, ดอร์ทมุนด์ และ ลิเวอร์พูล กลายเป็นเพียง 3 สโมสรที่ผมเคยคุมตอนจบอาชีพ อย่างน้อยมันก็เป็นการทำงานร่วมกับสโมสรที่ยิ่งใหญ่"

ขณะนี้ คล็อปป์ ยังมีสัญญากับลิเวอร์พูล ถึงปี 2022 ถ้าคุมทีมจนครบสัญญา ตอนนั้น เขาจะมีอายุ 55 ปี อีก 5 ปี ที่เหลือนั้น จะไปคุมทีมใด ต้องตามดูกันต่อไป...

ล่าสุด... เมื่อวันก่อน โค้ชเกเก้นเพรสซิ่ง ก็ได้กล่าวถึงการทำงานครบรอบ 1 ปีของเขากับถิ่นแอนฟิลด์ ไว้ได้น่าสนใจมาก ทำเอาแฟนหงส์ปลื้มเลยทีเดียว

"ผมไม่มีเวลา และผมก็ไม่มีอารมณ์มานั่งครุ่นคิดเรื่องพวกนั้นหรอก บอกตามตรงนะ ครบ 1 ปีหมายความว่า ผมแก่ขึ้นอีกปี มันก็แค่นั้นแหละ แต่ทุกอย่างดีขึ้นมาก แม้ว่ามันยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็อยู่ในแนวทางที่ดี นั่นคือสิ่งที่เราคาดหวังเอาไว้ นี่แหละคือสิ่งที่เราพยายามพูด"

"หลังจาก 1 ปีที่ยืนอยู่จุดนี้ เราสามารถพูดแบบนี้ได้ มีข้อสงสัยแบบว่ามีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับตัวผม มีหลายคนบอกว่า แน่นอนเขาเป็นโค้ชที่เก่งตอนอยู่ดอร์ทมุนด์ แต่ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันไม่เวิร์กกับที่นี่ ตอนนี้มันดียิ่งกว่าซะอีก”

“สิ่งสำคัญก็คือผมไม่ได้อยู่ที่นี่แค่ปีเดียว ผมหวังอยู่ที่นี่ให้นานที่สุด และนั่นหมายความว่าเราต้องพยายามใช้ข้อมูลทุกอย่างที่เรามีตั้งแต่ตอนนี้ และเรียนรู้จากสิ่งนี้"

"ชีวิตคือการทำงาน, การสะสมประสบการณ์, เรียนรู้จากประสบการณ์ และพร้อมที่จะพบความท้าทายครั้งต่อไป วันที่ 8 ตุลาคม ครบรอบ 1 ปีของผมใช่ไหม? เราไม่มีอะไรต้องฉลอง ผมบอกคุณได้เลย! หวังว่าคงไม่มีใครมอบเค้กให้ผมนะ"

ส่วนเรื่องผลงานในฤดูกาลนี้นั้น ความคิดของแฟนหงส์ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนครับ ส่วนหนึ่งออกมาลดกระแสว่า “เรื่องแชมป์พรีเมียร์ลีก เร็วไปนะ ปีนี้ขอติดท็อปโฟร์ แถมแชมป์บอลถ้วยสักรายการ แค่นี้ก็ฟินแล้ว”

แต่อีกฝ่ายหนึ่ง ถึงขั้นออกตัวล้อฟรีเลยครับ “ปีนี้แหละ ที่ลิเวอร์พูลจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก พวกเรารอมานานแล้ว ปีนี้ฟอร์มดีมาก บลา บลา บลา....”

ไม่ว่าแฟนหงส์จะคิดแบบไหน แต่ความจริงก็คือ พรีเมียร์ลีกมันผ่านไปแค่ 7 นัด เท่านั้นเอง ถ้าลิเวอร์พูลอยากมีลุ้นแชมป์แบบยาวๆ ต้องทำผลงานให้สม่ำเสมอทั้งฤดูกาล

พูดน่ะมันง่าย แต่เอาเข้าจริงๆ มันไม่ได้ง่ายนะครับ เพราะมันมีความแปรปรวนหลายๆอย่าง ที่ส่งผลต่อการลุ้นแชมป์ได้ทั้งสิ้น

สิ่งที่เด็กหงส์ทุกคนต้องท่องไว้ให้ขึ้นใจเลยครับว่า ไม่มีแชมป์ลีกสูงสุดประเทศไหน ที่เก่งกาจเวลาเจอทีมใหญ่ แต่พอเจอทีมระดับกลางและเล็ก กลายเป็นหมูให้เชือดเสียอย่างนั้น

อย่าลืมว่า กฎการแข่งขันฟุตบอลระบบลีกทั่วโลก เค้าบอกเอาไว้ว่า ทีมที่ยืนอันดับ 1 หลังจบนัดสุดท้าย ทีมนั้นคือ “แชมเปี้ยน” ตัวจริงครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook