สกู๊ป : เมื่อเรือใบไร้ "แพลน B"
เพื่อบทวิเคราะห์ 2 ตอนในประเด็น "5 กลยุทธ์ปราบแมนฯ ซิตี้" ที่ผมเขียนไว้ก่อนเกม สเปอร์ส - แมนฯ ซิตี้ ของผมจะจบได้แบบสมบูรณ์ที่สุด
วันนี้ ผมขอเขียน "ภาคต่อ" อันเป็นผลจากความพ่ายแพ้ของทีมเรือใบสีฟ้า แมนฯซิตี้ ที่แพ้จริง และไม่มากก็น้อยมีผลมาจาก 5 กลยุทธ์ฯ ที่ผมได้เขียนไว้ :
1.ต้องไม่กลัวศักดิ์ศรี "เป๊ป" และเด็กๆ
2.กดดันแนวรับ และบีบ "บราโว่"
3.จะ "รับต่ำ" หรือเพรสซิ่งสูง ให้เลือกเอา
4.นักเตะหมายเลข 12 ต้องเกิน 100%
5.สวดมนต์ให้เป็นวันของเรา ไม่ใช่ของเค้า
ครับ สเปอร์ส ของเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เล่นได้ตามนั้นจริงๆ และทำได้ดีมากจนความดีงามที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สร้างสรรค์ไว้ตลอด 10 เกมแรกที่คุมซิตี้อย่างเป็นทางการแล้ว "ชนะรวด"
กลายเป็นหมันไปเลย!
ไม่นับนัดที่ 11 ที่เสียสถิติชนะ 100% หลังโดนเซลติก และเบรนแดน ร็อดเจอร์ส สร้าง "พิมพ์เขียว" เพรสซิ่งสูงเข้าใส่ "แนวรับ" และเคลาดิโอ บราโว่ จนนักเตะเรือใบออก "บอลแรก" แทบไม่ได้
ก่อนจะเสียอีกสถิติ นั่นคือ แพ้เกมแรกในฤดูกาลแบบสู้ไม่ได้คาไวท์ ฮาร์ท เลน 0-2 เมื่อวันอาทิตย์ "ซูเปอร์ซันเดย์" ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กลยุทธ์ตั้งแต่ข้อ 1-5 แม้ข้อ 5 อาจไม่ได้ฟังเหมือนกลยุทธ์ก็ตามที (อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ สกัดเข้าประตูตัวเอง เข้าข่ายข้อ 5 ทันที) ทว่าทีมตราไก่ได้นำมาใช้ และประสบความสำเร็จจริง
เฉพาะอย่างยิ่งข้อ 3 ที่ถึงเวลานี้ต้องยอมรับแล้วว่า แมนฯ ซิตี้ มี "ปัญหาหนัก" จริงๆตอนโดนเพรสซิ่งสูงแบบเซลติก และสเปอร์ส
ผมเองรอว่า เมื่อไหร่ซิตี้เจอทีมอย่าง เลสเตอร์ ทีมที่รับเป็นรุกได้ดี และมีกองหน้าเร็วๆอย่าง เจมี่ วาร์ดี้, อาเหม็ด มูซ่า หรือริยาด มาห์เรซ ไว้คอยโต้กลับ
อะไรจะเกิดขึ้นกับการตั้งรับแบบ High Line หรือดันขึ้นสูงถึงกึ่งกลางสนาม
จะพังเหมือนโดนเพรสสูงหรือไม่!?
แต่เอาเป็นว่า ทั้งเกมรับชุดจริงนำโดย จอห์น สโตนส์ หรือ โคลารอฟ ในชุดเซนเตอร์ฮาล์ฟสำรอง ต่างมีปัญหารวมถึงบราโว่ด้วย
หลายคนหรือคนจำนวนมากอาจพูดถึงชื่อ เควิน เดอ บรอยน์ ว่ามีส่วนสำหรับการสะดุดในส่วนเกมรุก เฉพาะอย่างยิ่ง "บอลทางลึก" หรือบอลเร็ว หรือ killer pass ที่ขาดหายไป
แต่หากใครได้ชมทั้งแมตช์กับเซลติกที่ยิงได้ 3 ประตู (แต่ก็เสีย 3 ประตู) หรือเกมล่าสุดกับสเปอร์ส ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะเห็นใกล้ๆกันว่า
แมนฯ ซิตี้ ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องเกมรุก เพราะยามใดที่บอลทะลุถึงแดนสุดท้าย หรือ Final Third หน้าแนวรับตราไก่
ทีมเรือใบสีฟ้า ทั้ง กุน อเกวโร่, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, ดาวิด ซิลบา หรือเฆซุส นาบาส (เล่นแทน โนลิโต้ ที่โดนแบน และเดอ บรอยน์ ที่เจ็บ) ต่างทำหน้ากันได้โอเค
ดังจะเห็นว่า หากบอลสามารถทะลุไปถึงพื้นที่ดังกล่าวได้แล้ว เกมรุกซิตี้จะอันตราย และดีพอจะทำประตูได้
ทว่าปัญหาในนัดนี้ หรือนัดกับเซลติก คือ "บอลแรก" จากหลังไปหน้าลำเลียงได้ลำบาก เพราะโดนเพรสซิ่งนั่นเอง
ส่วนมิดฟิลด์ อาจมีปัญหาบ้างที่เกมนี้ เป๊ป ปรับมาใช้ เฟอร์นันโด ยืนคู่เฟอร์นันดินโญ่ ในแดนกลาง และปรับจากระบบ 4-1-4-1 มาเป็น 4-2-3-1 หรือเน้นรับมากขึ้น
ทว่า "ภาพรวม" ไม่ได้เสียหายมากนัก แม้ วิคเตอร์ วันยาม่า จะโดดเด่นจัดการแทบ "อยู่หมัด" ไม่นับการเล่นแบบ False No.9 ของโปเช็ตติโน่ ที่เลือกใช้ ซอง เฮือง มิน ซึ่งไม่ใช่กองหน้าแท้ๆมายืน
หรือเสมือนทำให้ทีมตราไก่มีมิดฟิลด์ถึง 6 คนลงสนาม คล้ายๆทีมชาติสเปน ยุครุ่งเรืองที่เคยใช้ เชส ฟาเบรกาส ยืน False No.9
สุดท้ายจึงกลายเป็นว่า "ห้องเครื่อง" สเปอร์สเหนือกว่า และพอใช้กลยุทธ์เพรสซิ่งสูงเข้าไปด้วย
ทุกอย่างจึงจบตั้งแต่ "ครึ่งแรก" ที่ได้เห็นเจ้าบ้านไก่เดือยทองออกนำ 2-0
ปัญหาและ "คำถาม" ที่ตามมาหลังเสมอ 3-3 และโดน 0-2 ในครึ่งแรกที่ลอนดอนก็คือ เป๊ปทำอะไร? แก้เกมอย่างไร?
นอกเหนือจากเปลี่ยนตัว เช่น อิลคาย กุนโดกัน แทนเฟอร์นันโด, เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ แทนนาบาส และเลอรอย ซาเน่ แทนสเตอร์ลิ่ง ท้ายเกม
ผมดูไม่ออกว่า เป๊ป "แก้เกม" หรือปรับกลยุทธ์อย่างไร!?
อันเป็นที่มาของชื่อเรื่องของผมในวันนี้แหละครับว่า สงสัยแมนฯ ซิตี้ จะไม่มี "แพลน B"
จะว่าไปแล้ว อาร์เซนอล ที่ทำได้แค่เตะบอลสั้นขวางไปมาจากซ้ายไปขวา จากขวาไปซ้ายกับเบิร์นลีย์ ก็ไม่ได้ต่างกัน
กระทั่งท้ายเกมถึงเริ่มโยนเข้ากลาง และประสบความสำเร็จจากคอร์เนอร์ที่เข้าไปแล้วโดนแขน โลร็องต์ กอสเชียลนี่ เป็นประตูชัยตอนทดเจ็บวินาทีสุดท้าย
แมนฯ ซิตี้ ก็เช่นกัน กับแนวทางการต่อบอล ครองบอล ทว่าไปไม่เป็นหากโดนบีบสูงใน 2 เกมล่าสุด
เรื่องนี้ ผมมองว่า นอกจากเป๊ปจะไม่มี "แพลน B" หรือความยืดหยุ่นในเกมการเล่นแล้ว
ผมยังสงสารทั้ง บราโว่ และนิโคลัส โอตาเมนดี้ เป็นพิเศษ ที่โดนกดดันตอนได้บอลตลอดเกม
แล้วไม่สามารถเตะบอลยาว หรือเตะทิ้งออกด้านข้างได้!
เชื่อว่า เป๊ป คงสั่งให้ลูกทีมกล้าต่อบอล และเล่นลูกสั้น แต่ปัญหาคือ บางทีมันเป็นสถานการณ์ 50-50 หรือ 40-60 ที่เสียเปรียบจะเล่นครองบอล และต่อบอลสั้น
แต่ทั้งบราโว่ และแผงหลังซิตี้ก็จำต้องทำ
จุดนี้สามารถสร้างให้เกิด "บูมเมอแรง" ตีกลับได้ เพราะคู่แข่งจะรู้ครับว่า ยังไงนักเตะซิตี้ก็ไม่เตะทิ้ง
และจะมีแรงจูงใจในการเข้าแย่ง อันต่างจากการเดาไม่ออกว่า โกล์จะเตะทิ้ง/ไม่ทิ้ง
นี่แหละครับ "จุดแข็ง" ของทีมที่กำลังกลายมาเป็น "จุดอ่อน" ให้โจมตีได้ และซิตี้หากไม่แก้ไข หรือมี "แพลน B" มารองรับ
เส้นทางที่เหลือในฤดูกาลนี้จะไม่ง่ายแน่ ๆ เพราะคู่แข่งเค้ามี "พิมพ์เขียว" ในการเอาชนะเป๊ปได้แล้ว