สกู๊ป : "หลังเกมแดงเดือด" (โดย ธีรพัฒน์ อัครเศรณี)

แม้การพบกันระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกมแรกในฤดูกาลนี้จะมาอย่างผิดกาลเทศะ เนื่องจากคนไทยกำลังอยู่ในช่วงโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งไป ประกอบกับการจัดโปรแกรมที่โดนโยกให้มาเตะกันในคืนวันจันทร์ ยิ่งทำให้บรรยากาศดูแปลกๆยังไงชอบกล

ท่ามกลางสายตาคนดูแน่นขนัดสนามแอนฟิลด์ ผมมองว่า “ปีศาจแดง” เริ่มต้นได้ดีเกินคาด ใช้วิธี “หนามยอกเอาหนามบ่ง” เล่นเพรสซิ่งเร็วกดดันต้นตำรับทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ อย่างดุดัน

การส่ง แอชลี่ย์ ยัง, อันเดร์ เอร์เรร่า และ มาร์คัส แรชฟอร์ด แล้วปล่อย เวย์น รูนี่ย์ นั่งสำรองอยู่ข้างสนาม ทำให้จังหวะของทีมเยือนรวดเร็วขึ้นผิดหูผิดตา

ลิเวอร์พูล พยายามกลับสู่เกมด้วยความขยันและทุ่มเทของนักเตะอย่าง เจมส์ มิลเนอร์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ เอ็มเร่ ชาน น่าเสียดายที่ศูนย์หน้าอย่าง ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ เล่นได้น่าผิดหวังชะมัด

ด้วยการวางแผนของกุนซือเยอรมันในช่วงพักครึ่ง ทำให้เจ้าถิ่นกลับมาดีกว่าอย่างเห็นได้ชัดใน 45 นาทีหลัง ได้บุกใส่อย่างหนัก แต่สุดท้ายก็ทำประตูไม่ได้เสมอกันไป 0-0

ถือเป็นเกมที่มีไดนามิกรวดเร็วสุดๆ ถ้าจะให้ใครเป็น “แมน ออฟ เดอะ แมทช์” ผมขอเลือก ดาบิด เด เคอา นายทวารของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โชว์ซูเปอร์เซฟ 2 หน ครั้งแรกป้องกันลูกยิงจ่อๆของเอ็มเร่ ชาน และอีกหนึ่งช็อตคือการพุ่งปัดการซัดไกลของ เฟลิเป้ คูตินโญ่ เพลย์เมคเกอร์เจ้าถิ่นที่กำลังพุ่งจะเสียบสามเหลี่ยมอยู่แล้วออกไปได้

ใครพลาดยังไม่ได้ดูช็อตนี้ ขอให้ไปหาชมซะ สุดยอดจริงๆ ถ้าไม่มี เด เคอาช่วยลูกนี้ มีหวัง “ปีศาจแดง” ได้มือเปล่ากลับบ้านแหงๆ

คนที่น่าผิดหวังอีกคนเป็นของฝั่งทีมเยือนนั่นก็คือ ปอล ป๊อกบา ที่ครึ่งหลังหายเงียบเชียบ ขนาด มูรินโญ่ เองยังออกมาบ่นฟอร์มของนักเตะค่าตัวแพงที่สุดผู้นี้

ก่อนหน้านี้เจ้าตัวออกมาบ่นว่า ที่ผ่านมาต้องเล่นในตำแหน่งที่ต่ำเกินไป ทำให้ไม่มีโอกาสได้เติมเกมรุกอย่างที่ใจต้องการ เกมนี้ “เฮียมู” เลยจัดให้ยืนมิดฟิลด์ตัวรุกอยู่หน้า เฟลไลนี่ และ เอร์เรร่า ก็ยังเล่นไม่ออกอีก

คงไม่มีข้อแก้ตัวอะไรแล้ว เกมใหญ่แบบนี้ฝีเท้าดีอย่างเดียวไม่พอ สมาธิและความนิ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด

เกมจบไปแล้ว ใครที่ยังข้องใจก็คงต้องนัดไปล้างตากันใหม่ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด กลางเดือนมกราคมศกหน้าค่อยว่ากัน