เมื่อ "แดงเดือด" ผู้ชนะคือ "เกมรับ"

เมื่อ "แดงเดือด" ผู้ชนะคือ "เกมรับ"

เมื่อ "แดงเดือด" ผู้ชนะคือ "เกมรับ"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ศึก "แดงเดือด" วันมันเดย์ไนท์หนแรกในประวัติศาสตร์จบแบบ "ชัยชนะ" ไม่ได้เป็นของใครนอกจาก "เกมรับ" ทั้ง 2 ฝ่ายที่ทำหน้าที่ได้ดีกว่า "เกมรุก" ในแมตช์ที่จบด้วยสกอร์ 0-0

ในแง่บวกสำหรับเจ้าถิ่น ลิเวอร์พูล นี่คือเกมแรกในซีซั่นที่ไม่เสียประตู หรือเก็บ "คลีนชีต" ได้สำเร็จกับนายทวารใหม่ ลอริส คาริอุส แม้ลึกๆแล้วนายด่านเยอรมันจะมี "แกว่งๆ" ให้เห็นอยู่เรื่อยๆในเกมก็ตาม

รูปเกม แม้โจเซ่ มูรินโญ่ จะไม่ได้ "เปิดเผย" แท็คติกส่วนตัวก่อนเกม ทว่าวิธีการเล่น "เพรสซิ่ง" โดยเฉพาะแดนกลางที่ตัดบอลเร็ว ทำให้ลิเวอร์พูลไม่สามารถทำเกมรุกได้ถนัด

หนำซ้ำต้นครึ่งแรก สักประมาณ 10-15 นาทีถือว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดฉากได้ดี และดันรุกสูงขึ้นมาในแดนลิเวอร์พูลจนน่าจะ "สร้างสรรค์" ให้เกมแดงเดือดนัดนี้สนุก

แต่ทีมปีศาจแดงไม่ได้รักษาระยะดังกล่าวอันทำให้สุดท้ายแล้ว เกม "โดยรวม" ไม่สามารถเติมเต็มความคาดหวังในแง่ความ "เอนเตอร์เทน" ได้

เพราะการที่ 1 ทีมรอคอยจังหวะ และเล่นอย่างรัดกุม แต่พร้อมจะ "ฉกฉวย" ความผิดพลาดคู่แข่ง เช่น มูรินโญ่ เคยทำได้กับเชลซีปีที่ลิเวอร์พูลกำลังเข้าป้ายลุ้นแชมป์

ประสบการณ์ลักษณะดังกล่าว ไม่มากก็น้อย "หลอกหลอน" ลิเวอร์พูลในเกมระดับที่ไม่ว่าจะเจอกันตอนไหน ใครกำลังพีค ก็จะเสมอๆกัน ไม่ต่างอะไรกับศึกดาร์บี้แมตช์

เกมนี้ก็ไม่ต่างกันที่ทั้ง 2 ฝ่าย "เคารพ" และให้เกียรติกันในระดับที่ได้เห็นเพียงลิเวอร์พูลค่อยๆเร่งเกม และ "กล้าเสี่ยง" มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มากในครึ่งหลัง

โดยผู้มาเยือนคอยฉวยโอกาสเพื่อพลาดอยู่ตลอดไม่ว่าจะเป็นต้นครึ่งหลัง จากจังหวะจ่ายแค่ระยะไม่ถึง 10 หลาของ คาริอุส ให้กับลอฟเรน พลาดไปเข้าทางป๊อกบาที่ส่งให้ อิบราฮิโมวิช ยิง

จากนั้น ยังมีจังหวะที่ดีที่สุดของเกมในนาทีที่ 53 ซึ่งป๊อกบาอีกเช่นกันชิพให้อิบราฯโหม่งที่เสาไกล แต่หัวหอกสวีดิชกลับโหม่งย้อนกลับมาแบบงงๆว่า ทำไมไม่โหม่งทำประตู

ขณะที่ลิเวอร์พูลเองต้องรอถึงนาทีที่ 58 จากจังหวะที่ เอมเร่ ชาน ที่ทำได้ "ไม่ขี้เหร่" ในเกมนี้ เฉพาะอย่างยิ่งหากเทียบกับการได้ลงตัวจริงหนแรกกดเรียดด้วยซ้าย ทว่าดาวิด เด เกอา เซฟระดับโลกเอาไว้ได้

อีกครั้งก็แน่นอนครับ คือหลังจากนั้นนาทีที่ 70 เฟลิเป้ คูตินโญ่ กระชากเข้ากลางแล้ว "ปั่นโค้ง" ตามสไตล์ และบอลจะมุดเสียบสามเหลี่ยมอยู่แล้ว

หากไม่ใช่ เด เกอา อีกเช่นกัน "บิน" มาปัดออกไปได้แบบมหัศจรรย์

รวมความกับสถิติเช่น ใบเหลือง ผู้มาเยือนรับ 4 ใบ, หงส์แดงเป็นศูนย์, ครองบอล 65:35% และได้คอร์เนอร์ครั้งเดียวนาทีที่ 80

รวมๆจึงไม่ได้เป็น "ตัวเลข" ที่สวยนักของแมนฯ ยูฯ ที่ มูรินโญ่ คงไม่แคร์ เพราะเคยได้แชมป์ยุโรปกับอินเตอร์ มิลาน โดยครองบอลไม่ถึง 30% มาแล้ว

ขณะที่ลิเวอร์พูลก็ต้องถือว่า แนวรุกทำได้ต่ำกว่ามาตรฐาน และสอบไม่ผ่านในเกมนี้กับคู่แข่งที่วางหมากมาดีอันทำให้ เยอร์เก้น คลอปป์ คงมีงานต้องกลับไปแก้ไขปรับปรุงต่อไป หากจะสถาปนาเป็นทีม "ลุ้นแชมป์" แบบจริงจัง

ในแง่ "โพสิทีฟ" นอกเหนือจาก 1 คะแนนที่ผมคิดว่า "น้ามู" น่าจะพอใจสังเกตได้จากการค่อยๆเดินออกจากสนามของ แอชลีย์ ยัง โดนตอนเปลี่ยนตัวท้ายเกม คือผลงานในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับจุดที่ผมเคยคิดว่า เวย์น รูนี่ย์ น่าจะเล่นได้

ทว่า ฟอร์มเมื่อคืนวันจันทร์ และก่อนหน้านี้นับจาก มูรินโญ่ จับอังเดร เอร์เรร่า มายืนตัดเกม และคุมจังหวะจัดได้ว่า มิดฟิลด์สแปนิชทำผลงานได้ยอดเยี่ยม

ถึงจุดนี้ มันมี 2 ประเด็นครับนั่นคือ ตำแหน่งด้านข้างของ "3" ในระบบ 4-2-3-1 ก็ได้ แอชลี่ย์ ยัง กลับมาเป็นอีกทางเลือกไม่นับ มาร์คัส แรชฟอร์ด, อองโตนี มักซิญัล, เจสซี ลินการ์ด, ฮวน มาตา, เฮนริค มคิห์ทาร์ยาน หรือเมมฟิส เดอปาย ไม่นับ ป๊อกบา ที่ช่วงหลังถูกดันขึ้นสูงมาเล่นตรงนี้ได้ด้วย

รูนี่ย์ แทบไม่มีทาง "แทรกตัว" ขณะที่ตำแหน่งมิดฟิลด์ที่ เอร์เรร่า กำลังทำได้ดี แมนฯ ยูฯก็มีตัวอย่าง ไมเคิล คาร์ริค, มอร์แกน ชไนเดอร์แลง, มารูยาน เฟลไลนี่ ที่เล่นได้ดี

สุดท้ายเป็นประเด็นที่เคย "แตะแรงๆ" ไว้เมื่อกลางสัปดาห์ก่อนตอน รูนี่ย์เล่นทีมชาติตัวสำรองแล้วเปลี่ยนลงสนาม แต่เฮนเดอร์สันรีบวิ่งไปสวมปลอกแขนกัปตันทีมคืนให้

ทว่าเกมนี้ คริส สมอลลิ่ง ทำไมไม่ทำเช่นนั้นให้กัปตันทีมตัวเองตอนเปลี่ยนลงไปแทนแรชฟอร์ดนาทีที่ 77

ลืม, ไม่ได้คิด, ไม่ได้นึก, ไม่มีสำนึก หรือว่าอย่างไร?

ทว่านั่นแหละครับ สถานการณ์ชีวิตของเวย์น รูนี่ย์ ณ เวลานี้

หลังเกมที่ผู้ชนะคือ "เกมรับ" ทั้ง 2 ฝ่าย และแมนฯ ยูไนเต็ด น่าจะ "พอใจ" กับผลการแข่งขันมากกว่าครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook