"เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ" ห้ามพลาด ห้ามแพ้

"เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ" ห้ามพลาด ห้ามแพ้

"เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ" ห้ามพลาด ห้ามแพ้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผ่านรอบแรกของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนหรือ "เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ" ซึ่งขุนพลช้างศึก "ทีมชาติไทย" ยังโชว์ฟอร์มได้สมราคาเต็งแชมป์และในฐานะแชมป์เก่า ด้วยการผ่านเข้ารอบเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มบี เอาชนะ "อินโดนีเซีย" 4-2 ชนะ "สิงค์โปร์" 1-0 และปิดท้ายด้วยการชนะเจ้าภาพ "ฟิลิปปินส์" 1-0

แน่นอนว่า ทุกครั้งที่ทีมฟุตบอลไทยชนะ แฟนฟุตบอลชาวไทยย่อมมีความสุขไม่ว่าจะทีมเล็ก ทีมใหญ่หรือรายการเล็ก รายการใหญ่ สำหรับฟุตบอลรายการนี้ในความรู้สึกส่วนตัวและแฟนบอลชาวสยามประเทศหลายคน คงรู้สึกว่าไม่ใช่รายการที่ใหญ่เหมือนฟุตบอลรายการระดับภูมิภาคหรือคัดเลือกฟุตบอลโลก

เพราะตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมของทีมชาติไทยในระดับภูมิภาคไม่ว่าจะแชมป์ซีเกมส์หรือรายการนี้หนที่แล้วที่เราเป็นแชมป์ ทำให้เราเสพติดความสำเร็จในระดับภูมิภาคจนอิ่มแปล่ และมองว่าระดับฟุตบอลของขุนพลช้างศึก "เหนือกว่า" ระดับอาเซียนไปพอสมควร

ยิ่งไปกว่านั้นเวลาต้องเจอกับทีมในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน เราไม่เคยแพ้ หรือแม้กระทั่งเสมอด้วยซ้ำ นี้คงเป็นอีกเหตุผลนึงที่ฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิครั้งนี้สำหรับผม ไม่สนุกเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะยังไงก็รู้อยู่แล้วว่า "ไทยชนะแน่"

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ได้เห็นจากรอบแรกจากทีมของ ซิโก้ "เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง" ที่เป็นสิ่งต้องปรับปรุงคงเป็นเรื่องเกมรับโดยเฉพาะลูกกลางอากาศที่ถือว่าเป็นของแสลงไม่ถนัดกับนักฟุตบอลไม่ใช่แค่เมืองไทยแต่ในภูมิภาคนี้อยู่แล้ว ด้วยรูปร่างเฉลี่ยนที่ตัวเล็กเวลาไปเจอกับพวกทีมจากอาหรับหรือฝรั่ง หลายๆจังหวะที่โดนบอมบ์เข้ามาก็แอบลุ้นกลัวเสียประตูเป็นประจำ

หรือที่เห็นได้ชัดเจนคงเป็นเกมกับ "ทีมชาติอินโดนีเซีย" ในเราเสียประตูจากลูกกลางอากาศทั้ง 2 ลูกจนถูกตีเสมอ 2-2 ก่อนที่จะกลับมายิงนำแล้วเอาชนะไปได้

อย่างไรก็ตามถ้าลองไปดูฟุตบอลคู่อื่นที่แข่งในรายการนี้ที่มีการถ่ายทอดสดมา จะเห็นว่าระดับฟุตบอลในภูมิภาคอาเซียนยังห่างไกลกับระดับเอเชียอยู่พอสมควร มิเช่นนั้นในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก รอบแบ่งกลุ่มก่อนหน้านี้ยกเว้น "ไทย" คงไม่โดนถล่มกันประพรุนแบบถล่มทลายหรอก

จากการลงเล่น 8 นัดเท่ากัน "มาเลเซีย" โดนไป 30 ประตู (เฉลี่ยนัดละ เกือบ 4 ประตู) "ติมอร์เลสเต" โดนไป 36 ประตู (เฉลี่ยนัดละเกือบ 5 ประตู) แถมทั้งคู่ยังโดนยิงเกมเดียวถึง 10 ลูกมาแล้ว (มาเลแพ้ยูเออี และ ติมอร์แพ้ซาอุดิอาระเบีย) หรือ "กัมพูชา" ที่โดนยิงไป 27 ประตู มีแค่ "สิงค์โปร์" กับ "เมียนมา" ที่เสียประตู และ "เวียดนาม" 8 ลูกเท่านั้น ขณะที่ "อินโดนีเซีย" ถูกแบนครับ

อย่างไรก็ตาม ต้องเห็นใจทีมชาติด้วย เพราะถ้าเกิดไม่ได้ "แชมป์" รายการนี้ก็คงเป็นประเด็นให้เล่าขานกันอีกยาวนานเหมือนยุคนึงที่เพิ่งผ่านไป "ทีมชาติไทย" เคยตกรอบแรกฟุตบอลซีเกมส์ถึง 2 สมัยติดกัน

บางทีก็เหนื่อยแทนสมาคมและทีมงานในการวางยุทธศาสตร์ระยะยาวของฟุตบอลทีมชาติไทย เพราะเวลามีรายการเล็กๆในระดับภูมิภาค ถ้าส่งชุดใหญ่ไป "แชมป์แน่" แต่ก็จะไม่มีพื้นที่ให้นักเตะรุ่นใหม่ที่จะขึ้นมาได้เท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดส่งชุดเด็กไปแล้วพลาด "บ่ได้แชมป์" ขึ้นมาก็เจอเสียงวิพากย์วิจารณ์จากทั่วสารทิศรวมถึงนักเลงคีย์บอร์ดด้วย

สุดท้ายเหลืออีก 2 รอบในฟุตบอล "เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ" ข้อสรุปเดียวของทีมชาติไทยคือ "ห้ามพลาด(แชมป์) ห้ามแพ้"ครับ      

โดย แบงค์ พิพัช

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook