รีวิว พรีเมียร์ลีก โดย มาร์ค สุรเดช

รีวิว พรีเมียร์ลีก โดย มาร์ค สุรเดช

รีวิว พรีเมียร์ลีก โดย มาร์ค สุรเดช
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ยังมีโปรแกรมเตะกันให้ครึกครื้นเหมือนเช่นเคยซึ่งสัปดาห์นี้โชคดีที่ไม่มีเกมคู่ไหนที่ถูกยกเลิกอันเป็นควันหลังมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในกรุงลอนดอน และลุกลามแผ่ไปยังหัวเมืองใหญ่ของประเทศ

โดยจากทั้ง 9 เกม ซึ่งยังไม่ได้นับรวมกับเกม มันเดย์ไนต์ที่ “แชมป์เก่า” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเปิดบ้านเพื่อพบกับ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ แล้วนั้น ทำให้เกมที่ถูกพูดถึงมากที่สุดหนีไม่พ้นเกมใหญ่ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ซึ่ง อาร์เซนอล ต้องทำศึกบิ๊กแมตช์ประจำสัปดาห์โดยจะได้เล่นในรังพบกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล โดยเกมนี้เล่นกันไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา    

ก่อนหน้าเกมนี้จะเริ่มขึ้น สื่อฟุตบอลอังกฤษต่างมองว่าทั้ง อาร์แซน เวนเกอร์ และ เคนนี่ ดัลกลิช จะต้องพบกับความกดดันลูกยักษ์ เพราะทีมของพวกเขาทั้งคู่ทำได้แค่นัดกันเสมอมาจากเกมแรก

ในเกมนี้กุนซือเลือดเฟรนช์ ได้ข่าวดีเมื่อบรรดาตัวหลักของทีมโดยเฉพาะในแนวรุกสามารถลงเล่นได้เกือบจะทั้งหมดยกเว้นก็แค่รายของ แชร์วินโญ่ ที่ติดโทษแบนจากการโดนไล่ในเกมเมื่อสัปดาห์ก่อน

ด้าน ลิเวอร์พูล ถ้าไม่นับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่สภาพร่างกายยังไม่ฟื้นคืนสภาพทำให้ในบรรดาตัวหลักมีก็แค่ เกล็น จอห์นสัน ที่ยังไม่ฟิตเต็มร้อยและผลงานยังไม่เข้าที่

จากสถิติที่เคยพบกันมานั้น หนสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล บุกมาชนะถึงรังของ อาร์เซนอล ได้นั้นต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2000 นั่นแปลว่าฟุตบอลสไตล์ที่ ลิเวอร์พูล เล่นในช่วงหลังๆ แพ้ทาง อาร์เซนอล อย่างสิ้นเชิง

อาร์เซนอล ส่งทั้ง โรบิน ฟาน เพอร์ซี่,  ธีโอ วัลค็อตต์, อังเดร  อาร์ชาวิน รวมถึงผู้ที่กำลังตกเป็นข่าวว่าจะย้ายออกไปอยู่อย่าง ซาเมียร์ นาสรี่ ลงเล่นพร้อมหน้าพร้อมตา โดย เอ็มมานูเอล ฟริมปง กองกลางดาวรุ่งเจ้าของทรงผมขัดใจแม่ ได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงในเกมลีกหนแรกของเจ้าตัวกับทีม “ไอ้ปืนใหญ่” อีกด้วย

ส่วน ลิเวอร์พูล เกมรับมี เจมี่ คาร์ราเกอร์ นำทีม ขณะที่พื้นที่ตรงกลางสนาม ยอดคนจากสกอตต์ให้ สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ลูคัส เลว่า และ ชาร์ลี อดัม ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงพร้อมกัน หน้าคู่ในเกมนี้เป็นของ แอนดี้ คาร์โรลล์ กับ เดิร์ค เคาท์ ยืนคู่กัน

ลิเวอร์พูล เล่นเกมนี้ได้ดีโดยเฉพาะกองกลางที่ขยันช่วยกันไล่บีบจน อาร์เซนอล ทำอะไรกันไม่ค่อยจะถูกเช่นกัน จบ 45นาทีแรก สกอร์บน เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ยังหยุดนิ่งอยู่ที่ 0-0 โดยรูปเกมเป็นทาง ลิเวอร์พูล ที่ทำได้ดีกว่า

ทว่าจุดเปลี่ยนในเกมนี้เกิดขึ้นในนาทีที่ 70 หลังจาก ฟริมปง ใจร้อนด้วยการฟิวส์ขาดไปเสียบฟาวล์รุนแรงใส่ทางด้าน ลูคัส จนโดนผู้ตัดสินอัปเปหิออกจากสนามไป

จน ลิเวอร์พูล ที่เปลี่ยนตัวเอาทั้ง ราอูล เมเรเลส และ หลุยส์ ซัวเรซ สบโอกาสขึ้นนำจนได้แบบมีโชคเมื่อ มิเกล กองหลังตัวสำรองของทางเจ้าบ้านที่ลงมาแทน กอสเซียลนี่ ที่ได้รับบาดเจ็บไปตั้งแต่ครึ่งแรก พยายามจะเคลียร์บอลทิ้ง แต่เตะบอลไปอัดโดนตัวของ อารอน แรมซี่ย์ เข้าประตูไปให้ทีมเยือนได้กระพือปีกนำ 1-0

และในนาทีสุดท้ายของเกม หลุยส์ ซัวเรซ แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยม และฟอร์มที่ร้อนแรงต่อเนื่องด้วยการทำประตูปิดท้ายให้กับ “หงส์แดง” บุกมาพิชิตสามแต้มสำคัญยิ่งได้สำเร็จ โดยหลังจากเกมนี้ ลิเวอร์พูล ขึ้นมาอยู่เป็นอันดับ 2 ในตารางคะแนนเลยทีเดียว โดยตามหลัง แอสตัน วิลล่า แค่ลูกได้เสียเท่านั้น

โดยหลังจบเกม เกรแฮม เทย์เลอร์ หรือ “กุนซือหัวผักกาด” อดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันผันตัวมาทำหน้าที่เป็นนักวิจารณ์ทาง บีบีซี เรดิโอ ไฟว์ไลฟ์ ได้ให้คอมเมนต์ในเกมนี้ไว้ว่า “นี่เป็นชัยชนะที่สำคัญสำหรับ ลิเวอร์พูล และมันจะทำให้พวกเขามีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ส่วน อาร์เซนอล จริงอยู่ที่ว่านี่ไม่ใช่ทีมที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา พวกเขามีปัญหาอีกหลายจุดให้ต้องแก้ อาร์แซน เวนเกอร์ อาจจะโดนบีบอีกครั้งจากแฟนๆ ในการที่ต้องซื้อนักเตะใหม่มาเสริมทัพจากที่มีอยู่เดิม”

ทั้งนี้ดูจากเกมนี้ จะด่วนกาชื่อลูกทีม “ไอ้ปืนใหญ่” ของ เวนเกอร์ ว่าจะหมดลุ้นแชมป์เลยคงไม่ได้ เพราะพวกเขายังมีนักเตะฝีเท้าดีอยู่เต็มทีม เพียงแต่ผู้เล่นเกมรับในเวลานี้นัดกันลงสนามช่วยทีมไม่ได้ และ การปรับจูนทีมให้ลงตัวอันเป็นผลมาจากการขาด เชส ฟาเบรกาส ไปอย่างถาวรแล้ว คือความท้าทายสำหรับกุนซือจอมขบคิดอย่าง เวนเกอร์ เป็นที่สุด

สำหรับผู้ชนะ ลิเวอร์พูล พวกเขาได้แสดงให้เห็นว่าปีนี้จะเป็นอีกทีมที่สร้างปัญหาให้กับทีมที่ได้เผชิญหน้าด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งถ้ามองโลกในแง่ดีสุดๆ พวกเขาน่าจะเล่นได้แข็งแกร่งกว่านี้อีกพอสมควรแน่ ในวันที่ได้กัปตันทีมอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ฟิตกลับสู่ทีมตัวจริงได้อีกครั้ง ขณะเดียวกัน หลุยส์ ซัวเรซ กำลังเล่นด้วยความมั่นใจ และคมกริบไม่แพ้มีดโกนเลยทีเดียว

สัปดาห์หน้า อาร์เซนอล จะต้องเจองานหนักอึ้งติดต่อกันอีกสัปดาห์ เมื่อจะต้องทำศึกกับ “แชมป์เก่า” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ส่วน ลิเวอร์พูล จะรอพบกับ โบลตัน

พูดถึงไปไม่กี่ย่อหน้าก่อนนี้ว่าทีมนำจ่าฝูงล่าสุดหลังผ่านเกมวันเสาร์ไปก็คือ แอสตัน วิลล่า ที่ไปกล้าๆ ดึงเอา อเล็กซ์ แม็คลีช จากทีมคู่อริย่านเดียวกันอย่าง ซันเดอร์แลนด์ มาทำทีม เพราะ แม็คลีช ทำ เบอร์มิงแฮม ตกชั้นในฤดูกาลก่อนเป็นหนที่สองนับตั้งแต่เข้ามารับงาน

ทั้งนี้แม้จะเคยประสบความสำเร็จสมัยยังเป็นลูกน้องลงเตะให้กับ เซอร์ อเล็กซ์ เมื่อครั้งยังอยู่ที่ อเบอร์ดีน ด้วยกัน พอมาทำทีม เรนเจอร์ส ไม่กี่ปีก่อนนี้ แม็คลีช ก็ช่วยให้ทีม “ไลท์บลูส์” สานต่อความยอดเยี่ยม คว้าแชมป์มาประดับตู้โชว์ได้ตลอด และมีราศีเกาะถึงขั้นได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นคุมทีมชาติ สกอตแลนด์ ชุดใหญ่มาแล้วด้วย

ในเกมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา วิลล่า ได้เฝ้าบ้านพบกับ “กุหลาบไฟ” แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ผลปรากฏว่า ทีม “สิงห์ผงาด” คว้า 3 แต้มเต็มมาครองได้สำเร็จ หลังจากเอาชนะไปด้วยสกอร์ 3-1 การอำลาทีมไปของ แอชลี่ย์ ยัง ไม่ได้ทิ้งรอยโหว่ไว้มากนักเมื่อ วิลล่า มีนักเตะอย่าง ชาร์ลส์ เอ็นซ็อกเบีย เป็นทางเลือกที่ข้างสนาม ซึ่งดาวเตะเจ้าปัญหาก็ทำหน้าที่ได้ดีมากแล้ว

ภายหลังเกม อเล็กซ์ แม็คลีช กล่าวว่า “เป็นผลการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมสำหรับเรา โดยมีหลายครั้งหลายจังหวะในเกมนี้ที่เราช่วยกันได้ดี ผมประทับใจกับลูกทีมของผมทุกคน พวกเขาเล่นได้ดีมากๆ การยิงคู่แข่งได้ถึง 3 ประตูถือว่าทะลุเป้า”

ตำแหน่งจ่าฝูงในวันเสาร์ของ แอสตัน วิลล่า ต้องถูกเปลี่ยนมืออีกครั้งหลังจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ลงสนาม สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ลูกทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ต้องเจอกับบททดสอบที่สำคัญนั่นก็คือการต้องยกพลไปเยือน โบลตัน วันเดอเรอร์ส ที่ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจไม่แพ้ ซิตี้ ในเกมแรก

แม้จะยิงไม่ได้ในตอนที่ เซร์คิโอ อาเกโร่ ลงเล่นในสนามได้ ทว่าลูกทีมของ มันชินี่ ก็ยังแกร่งเกินกว่าจะต้านทานได้ ดาวิด ซิลบา, แกเร็ธ แบร์รี่ และ เอดิน เซโก้ ช่วยกันทำคนละประตู ขณะที่เจ้าบ้านก็สู้ยิบตาแต่ไม่วายแพ้ให้กับความแกร่งของ ซิตี้ ไปอยู่ดี


รายของ คาร์ลอส เตเบซ ที่การย้ายทีมยังคาราคาซังจนเป็นเครื่องหมายคำถามว่าเขาจะได้ย้ายทีมออกไปหรือไม่ หรือว่ารอแค่ให้เขาเคลียร์เรื่องบ้านนิดๆ หน่อยๆ เอาได้ เกมนี้ก็ถูกจับเป็นตัวสำรอง ดูแล้วต่อให้ไม่มี เตเบซ ในปีนี้ ซิตี้ ก็พร้อมเดินหน้าต่อไปตามแผนการสร้างทีมได้อยู่ดี

อีกหนึ่งทีมที่ควรพูดถึงก็คือ เชลซี ในยุคกุนซืออย่าง อังเดร วิลลาส โบอาส แม้จะทำผลงานได้กระท่อนกระแท่นไปบ้าง แต่ก็คงต้องให้เวลากับพวกเขาว่าทำได้ดีแค่ไหนในระยะยาว

เชลซี ยังเป็นทีมที่แข็งแกร่งและไม่ล้าสมัย ล่าสุดพวกเขาก็อาศัยประสบการณ์เบียดเฉือนชนะผู้มาเยือน อย่าง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ไปอย่างหวุดหวิด

ทั้งหมดนี้คือภาพรวมสำหรับวีกที่สองของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2010-2011 ทีมใหญ่เริ่มนัดกันทำผลงานได้ดี

เชื่อว่าปีนี้การลุ้นแชมป์เปิดกว้างให้กับทุกทีมอย่างเต็มที่

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook