ดูบอลอิตาลีในแบบ "โรมานิสต้า"
อย่างที่เรียนไว้เมื่อคอลัมภ์ที่แล้วว่ายังไงมาเยือนกรุงโรม ประเทศอิตาลี ก็ต้องขอเข้าไปสัมผัสบรรยากาศของฟุตบอลกัลโช่ เซเรีย อา สักครั้งในชีวิต ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาขุนพลหมาป่า “โรม่า” เปิดบ้าน “สตาดิโอ โอลิมปิกโก้” ต้อนรับการมเยือนของกระทิงหิน “โตริโน่” อีกทีมจากเมืองตูริน
การเดินทางไปสนามจากบริเวณใจกลางกรุงโรมที่ผมพักอยู่ไปสนาม ค่อนข้างลำบากนิดนึงเพราะขนส่งสาธารณะเพียงอย่างเดียวที่ไปถึงคือ “รถเมล์” เนื่องจากสนามแห่งนี้เป็นสนามเก่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1928 เพื่อใช้เป็นสนามกีฬาแห่งชาติในยุคของ “เบนิโต้ มุสโสลินี่” อดีตผู้นำฟาสซิสของอิตาลี อยู่บริเวณเนินเขาออกไปชานเมืองนิดๆทำให้ลมเย็นมากเนื่องจากตั้งอยู่สูง
สนามแห่งนี้นอกจากเป็นสนามที่ “สโมสรโรม่า” ใช้เล่นเกมในบ้านแล้ว ก็ยังมี “สโมสรลาซิโอ” อริร่วมเมืองใช้ด้วย โดยทั้งคู่ใช้สนามแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 1953 และก็เล่นแบบสลับโปรแกรม ถ้าสัปดาห์นี้ทีมนึงไปเยือน อีกทีมก็เล่นในบ้านจนถึงปัจจุบัน
สำหรับแฟนบอลของโรม่าหรือที่เรียกว่า “โรมานิสต้า” ยิ่งถ้าเป็นพวก “อัลตร้า” ถือว่าเป็นกลุ่มแฟนบอลอีกทีมที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเถื่อน ความโหดมาตั้งแต่อดีต ทำให้ในปัจจุบันเจ้าหน้าตำรวจอิตาลีต้องรัดกุมซึ่งการเดินเข้าไปยังสนามในวันที่ทีมแข่ง ต้องใช้เจ้าหน้าตรวจถึง 3 ชั้นด้วยกัน และยังแบ่งทางเข้าของที่นั่งบนอัฒจันทร์ไว้แบบถึงเป็นแฟนโรม่าเหมือนกันก็ไม่มีทางเจอกันเลย ถือว่าเข้มงวดมากกว่าทุกสนามที่เจอมาซะอีก
ผมเดินทางมาถึงสนามก่อนเกมประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อเดินสัมผัสบรรยากาศและซื้อเสื้อฟุตบอลของทีม แต่ต้องพบกับความผิดหวังเพราะนึกได้ว่าที่สนามแห่งนี้ไม่มีร้านเมกกะสโตร์ หรือร้านขายของที่ระลึกของสโมสร เพราะไม่ใช่สนามของ “โรม่า” หรือ “ลาซิโอ” แต่เป็นสนามของเมืองที่ทั้งสองทีมมีสิทธิ์เช่าอยู่ อีกทั้งจุดที่ขายของสโมสรอยู่อีกโซนนึงที่เดินไปไม่ได้ เลย “อดไป” ตามระเบียบ
พอถึงเวลาบอลเตะก็ไม่ทำให้ผิดหวัง “โรม่า” ของกุนซือ “ลูชาโน่ สปาเล็ตติ” เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะจุดแข็งของมิดฟิลด์ในระบบ 3-5-2 ซึ่งมีทั้ง “เลโอนาร์โด้ ปาเรเดส” “เควิน สตูรทมัน” “บรูโน่ เปเรซ” และ “เอเมอร์สัน” ที่สามารถหยุดเกมรุกของขุนพลกระทิงหินได้อยู่หมัด ขณะที่แนวรุก “โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์” เร็วมาก จังหวะที่ทีมสวนกลับมาไม่มีทางจะจับได้ หรือ “รัดย่า เนียงโกลัน” ที่คล่อง เท้าไวมาก บวกกับ “เอดิน เซโก้” ที่แข็งแกร่งและเฉียบคม
จะสงสารก็คงเป็น “โจ อีซี่” (ฮาร์ท) ผู้รักษาประตูของคู่แข่ง ที่โดนไป 4 เม็ด แต่ก็ไม่สงสัยว่าทำไม “แมนฯ ซิตี้” ถึงปล่อยพี่โจให้ “โตริโน่” ยืมตัวแบบไม่เกรงใจดีกรีมือ 1 ทีมชาติอังกฤษ เพราะจุดอ่อนของเจ้าตัวคือ เป็นผู้รักษาประตูที่ค่อนข้างช้า เวลาเจอลูกลักไก่ยิงไกลเข้ามาตายสนิท และเป็นคนที่ออกบอล “แย่มาก” เวลาออกบอลจากประตูแทบไม่สร้างความได้เปรียบให้กับทีมตัวเองเลย
ที่พีคสุดๆคือช่วงท้ายเกมที่ได้เห็น พระราชาแห่งกรุงโรมอย่าง “ฟรานเชสโก้ ต็อตติ” ลงสนาม จริงๆสำหรับคนยุคผมได้เห็นตำนานของทีมในวัย 40 ลงเล่นแบบนี้กับตาถือว่าเป็น “กำไร” แล้วครับ แถมเจ้าตัวยังส่งบอลให้ “เนียงโกลัน” ยิงปิดท้ายอีกต่างหาก น้ำตาจะไหล!!!
ส่วนบรรยากาศในสนามก็เป็นอีกสนามที่สุดยอด โดยเฉพาะแฟนบอลโรม่าที่ส่งเสียงเชียร์ตลอดทั้งเกม ซึ่งตรงที่ผมนั่งไม่ห่างจากแฟนบอลโตริโน่ที่มีเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยยืนคุมอยู่ ทำให้มีการโห่ร้องเกือบตลอด 90 นาที บวกกับการอนุญาตให้ดื่มน้ำอำพันสีทองในสนาม แม้กระทั่งดูดสมุนไพรก็มีให้ได้กลิ่น 555
สุดท้ายการมาดูบอลแบบ “โรมานิสต้า” จบลงด้วยความสุข เจ้าบ้านถล่ม 4-1 พร้อมความประทับใจที่ยอมรับว่า “บอลอิตาลี” ถ้ามาเชียร์ข้างสนาม โค-ตรสนุก บางทีสนุกกว่าที่แอนฟิลด์ของลิเวอร์พูลด้วยซ้ำ ต่างจากการดูในโทรทัศน์อย่างสิ้นเชิง
แบงค์ พิพัช