พระเจ้าช่วย

พระเจ้าช่วย

พระเจ้าช่วย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สมญานาม "เดอะ สเปเชี่ยล วัน" อาจจะไม่ถูกใจใครหลายคน แต่นาทีนี้คำอ้างดังกล่าวไม่ได้เกินเลยหากจะพูดถึงหนึ่งในกุนซือที่ดีที่สุดในโลกยุคนี้อย่าง โชเซ่ มูรินโญ่
    
กุนซือชาวโปรตุกีส ยังคงทำได้เหมือนเช่นที่ผ่านมา ไม่ว่าจะไปคุมทีมอะไรก็สามารถพาทีมชูโทรฟี่ย์แชมป์ได้อยู่เสมอ แม้ช่วงออกสตาร์ตจะกระท่อนกระแท่น แต่นาทีนี้ "ผีแดง" ก็ได้เฮยกแรกไปเรียบร้อยแล้ว
    
อย่างไรก็ตามกว่าจะได้แชมป์อีเอฟเแอล คัพ หรือลีก คัพ เดิมเป็นสมัยที่ 4 ของตัวเอง มูรินโญ่ ต้องเจอกับด่านที่หินเกินคาดอยู่ไม่น้อย ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับด้วยดีว่า เซาธ์แฮมป์ตัน คือทีมที่เล่นดีกว่าใน 90 นาที
    
วัดตามหน้าเสื่อแม้ เซาธ์แฮมป์ตัน จะมีผลงานในรายการที่ค่อนข้างสวยหรู ผ่านเข้ามาชิงชนะเลิศที่เวมบลี่ย์ แม้ไม่เสียซิงให้กับทีมใด แต่หากเทียบเคียงปัจจัยต่างๆ ก็ดูจะยังเป็น "มวยรอง" เมื่อต้องเจอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด
    
โดยเฉพาะเรื่องของสภาพทีมที่ต้องเจอมรสุมแข้งหลักพาเหรดเจ็บระนาว การขาด เวอร์กิล ฟาน ไดจค์ ไม่มีใครเชื่อน้ำยาว่าคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟอย่าง มายะ โยชิดะ และ แจ็ค สตีเฟ่นส์ จะเอาตัวรอดได้ตลอดรอดฝั่ง

zlalalalz33 
สิ่งที่บรรดากูรูและแฟนบอลคาดการณ์เป็นจริงทุกอย่าง แนวรับของทีม "นักบุญ" ไม่อาจต้านพลังเกมรุกของ "ผีแดง" ได้เลย แค่ 45 นาทีแรกก็โดนทะลวงนำห่างไปถึง 2 ประตู
    
แต่ที่เกมนี้กลับมาสนุกต้องยกเครดิตทั้งหมดให้กับหัวจิตหัวใจของนักเตะ เซาธ์แฮมป์ตัน แม้จะเจอช็อตไม่เป็นใจ (ยิงเข้าลำหน้า) รวมถึงโดนนำถึง 2 ประตู แต่พวกเขาก็กลับสู่เกมได้อย่างน่าชื่นชม
    
ลูกทีมของ โคลด ปูแอล ฉลาดเล่นมากๆ พวกเขาเปิดฉากกระหน่ำโจมตีเข้าจุดอ่อนทางตำแหน่งแบ็กซ้ายของ มาร์กอส โรโฮ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น วอร์ด พราวส์ หรือ โซอาเรส บุกแต่ละทีได้ลุ้นตลอด
    
ยิ่ง กับเบียดินี่ อยู่ในฟอร์มการเล่นที่มั่นใจ ทำอะไรก็ดีไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการพักบอล การทำทาง รวมถึงการหาพื้นที่เข้าลุ้นประตู สามารถสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับของ "ผีแดง" อยู่ตลอดเวลา
    
การตัดสินใจเปลี่ยนตัวหัวหอกชาวอิตาเลี่ยน ออกในช่วงท้ายเกม ก็เป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของเกม เพราะทำให้แนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด กล้าดันสูงมากขึ้น เพราะแรงคุกคามของ เชน ลอง อยู่ในเลเวลที่ห่างชั้นเกินไป

zlalalalz22
ตั้งแต่ต้นครึ่งหลังที่ เซาธ์แฮมป์ตัน แทบจะเป็นฝ่ายต่อบอลทำเกมรุกชนิดได้น้ำได้เนื้อมากกว่า แต่เมื่อสมาธิหลุดทำ“การ์ดตก” และไม่ละเอียดพอในช่วงท้ายเกม พวกเขาก็ต้องยอมรับที่จะ “น้ำตาตกใน”
    
อย่างไรก็ตามหาก แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีชายที่ชื่อ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ทีมของ โคลด ปูแอล คงได้ต่อชะตาชีวิตด้วยการไปเล่นเกมในช่วงต่อเวลาพิเศษไปแล้ว
    
แม้วัย 35 ปีอาจจะดูโรยราหากนับช่วงอายุของนักฟุตบอลทั่วไป แต่ “อิบรา” คือข้อยกเว้น เจ้าตัวยังคงรักษาสภาพร่างกายได้ดี ขณะที่ “วิญญาณเพชรฆาต” ก็ไม่ได้ตกหล่นไปตามกาลเวลาเลยแม้แต่น้อย
    
คำสถาปณาที่ ซลาตัน ยกย่องตัวเองเป็น “พระเจ้า” คนใหม่ของสาวก “ปิศาจแดง” ไม่ใช่เรื่องเกินเลย หากวัดผลงานที่กระหน่ำประตูไปแล้วมากกว่า 25 ลูกจากทุกรายการในปีแรกที่โยกมาค้าแข้งในดินแดนผู้ดี
    
ประตูของหัวหอกสวีดิชส่วนใหญ่ก็เป็นลูกสำคัญ ที่ช่วยพลิกชะตาจากแพ้เป็นเสมอ หรือจากเสมอเป็นชนะให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง แต่ครั้งนี้มูลค่ามันสูงกว่าเดิมเพราะมีโทรฟี่ย์เป็นเดิมพัน
    
ภาพรวมแชมป์แรกของ มูรินโญ่ อาจจะไม่หรูหรามากนัก แต่นี่แหละคือบัญชาของ “พระเจ้า” ที่ชื่อ อิบราฮิโมวิช

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook