Premier League Review:

Premier League Review:

Premier League Review:
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มีหลายสิ่งที่เกิดขึ้น และล้วนน่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะกับสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาที่มีเกม ดาร์บี้แมตช์ หวดกันไฟแลบถึง 3 คู่ แบ่งเป็น 1 เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ และอีก 2 ลอนดอน ดาร์บี้ ขณะที่ผลงานของทีมดังหลายๆ ทีมก็ล้วนน่าพูดถึงทั้งสิ้น

เราเริ่มกันที่เกม เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ระหว่าง เอฟเวอร์ตัน กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งหวดกันมาเป็นเกมที่ 216 แล้ว และการพบกันของทั้งคู่ยังการันตีในเรื่องความเร้าใจ และบรรยากาศที่หาได้ยากในเกมฟุตบอลทั่วๆไป

การพบกันเมื่อฤดูกาลก่อน เอฟเวอร์ตัน เก็บได้ 4 แต้มทีเดียวในการพบกับทีมสีแดงคู่ปรับร่วมเมือง และลูกทีมของ เดวิด มอยส์ มีโอกาสดีที่จะทำคะแนนแซงหน้า ลิเวอร์พูล ในตารางคะแนนขึ้นไปด้วย หากว่าพวกเขาเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะได้เมื่อจบเกม

อย่างไรก็ดีทีมที่ได้เฮในตอนท้ายกลับกลายเป็นทางทีมเยือน ลิเวอร์พูล ที่เป็นฝ่ายเอาชนะไปด้วยสกอร์ 2-0 โดยที่เกมนี้ มาร์ติน แอ็ตกินสัน ผู้ตัดสินได้ไล่ แจ๊ค ร็อดเวลล์ เด็กปั้นอนาคตไกลของทีม “ทอฟฟี่เมน” ออกไป ทำให้ ลิเวอร์พูล เล่นกันได้ง่าย และ พลิกสถานการณ์จากรูปเกมที่ทำท่าจะเพลี่ยงพล้ำจนกลับมาเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด ขณะที่ แอนดี้ คาร์โรลล์ ได้ปลดปล่อยความอึดอัดที่เขารับไว้เต็มสองบ่าจากการที่ยังทำประตูแรกให้กับต้นสังกัดใหม่ในซีซั่นนี้ไม่ได้เสียที ด้วยการจัดการประตูแรกแผ้วทางให้ “หงส์แดง” เก็บ 3 คะแนน

อย่างไรก็ดี น่าเห็นใจ ร็อดเวลล์ ไม่น้อยที่ต้องโดนไล่ จนมีส่วนทำให้ เอฟเวอร์ตัน ต้องพบกับความพ่ายแพ้ เพราะหากเราดูจังหวะที่ ร็อดเวลล์ ปะทะกับ หลุยส์ ซัวเรซ จริงๆ แล้ว ต้องบอกว่า ร็อดเวลล์ เสียท่าให้กับชั้นเชิง และความเจ้าเล่ห์ของดาวเตะอุรุกวัย อย่างแท้จริง

หลังจากเกมนี้ ลิเวอร์พูล คงได้พักเต็มที่สำหรับนักเตะที่ไม่ได้ไปเล่นให้กับชาติบ้านเกิดในเกมทีมชาติที่จะมาถึงในช่วงสุดสัปดาห์ และรอทำศึกแดงเดือดกับอีกหนึ่งคู่แค้นตลอดกาลนั่นคือ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในวันที่ 15 ตุลาคม ที่สนาม แอนฟิลด์

พูดถึงแชมป์เก่า ก็ขอต่อกันที่เกมที่พวกเขาได้เฝ้ารัง โอลด์ แทรฟฟอร์ด รับการมาเยือนของทีม “นกขมิ้นเหลืองอ่อน” นอริช ซิตี้ เกมนี้ลูกทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องรอจนถึงนาทีที่ 68 สำหรับประตูขึ้นนำ 1-0 ในเกม จาก อันแดร์สัน กองกลางบราซิเลียน ก่อนที่ แดนนี่ เวลเบ็ค ที่หายเจ็บกลับมาไม่นาน จะทำประตูปิดท้ายขณะที่เหลือเวลาอีก 3 นาที และนั่นทำให้แชมป์เก่า ยังยึดตำแหน่งจ่าฝูงไว้ได้ต่อไปอีกสองสัปดาห์อย่างน้อย จากการที่ลีกไม่มีโปรแกรมเตะในสัปดาห์หน้านั่นเอง

เกมนี้ นอริช ของ พอล แลมเบิร์ต อาจจะมีโอกาสไม่มาก แต่พวกเขาน่าจะได้ 2 ประตูหากดูตามเนื้อผ้า อย่างไรก็ดี แอนโธนี่ พิลคิงตัน คงนึกโทษตัวเองที่เขาไม่คมพอจนทำให้ทีมพลาดโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาในเกมนี้ได้สำเร็จ

ในเกมนี้ เวย์น รูนี่ย์ หายจากอาการบาดเจ็บที่เอ็นหลังหัวเข่ากลับมาช่วยทีมได้ด้วย โดยลงเล่นตั้งแต่ต้นเกม แต่ไม่มีประตูจากดาวเตะทีมชาติอังกฤษผู้นี้ ขณะเดียวกัน เซอร์ เฟอร์กี้ ก็ปรับทัพถึง 7 ตำแหน่งทีเดียว หลังจากที่หัวเสียกับความผิดพลาดในแนวรับของทีมจากเกมเสมอ บาเซิล 3-3 ในแชมเปี้ยนส์ ลีก กลางสัปดาห์

3 แต้มของทีม “ปิศาจแดง” ทำให้พวกเขายังขับเคี่ยวกับคู่ปรับร่วมเมืองนั่นก็คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สนุกชนิดห้ามกะพริบตากันสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ส่วน นอริช แม้จะไม่มีแต้มติดมือ แต่อันดับก็ยังอุ่นใจได้เมื่อเกาะอยู่กลางๆ ตาราง ให้แฟนๆได้แอบลุ้นว่าพวกเขาจะไม่เพลี่ยงพล้ำตกชั้นกลับไปใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ เพียงแค่ซีซั่นเดียว

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์เมื่อซีซั่นก่อนด้วยผลงานอันยอดเยี่ยม โดยเฉพาะยามที่ได้ปักหลักเล่นในรังโอลด์ แทรฟฟอร์ด ของตัวเอง และครั้งนี้ก็เช่นกัน โดยเป็นการชนะรวดเกมลีกในบ้าน 19 เกมติดต่อกันเข้าให้แล้วสำหรับเหล่าขุนพล “ปิศาจแดง” อันต่อเนื่องมาจากซีซั่นก่อนด้วย

เซอร์ อเล็กซ์ เอ่ยปากชม นอริช ว่าเล่นเกมโต้กลับได้วูบวาบน่ากลัว แต่เมื่อครั้นที่ลูกทีมของเขาเจาะประตูแรกของเกมได้แล้ว ทุกอย่างก็ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของทีม “ปิศาจแดง” อย่างสิ้นเชิง

การป้องกันแชมป์ลีกในปีนี้ของ ยูไนเต็ด ดูจะมีผู้ท้าชิงหนึ่งราย ที่แสดงตัวออกมาชัดเจนตั้งแต่สัปดาห์แรก และทีมนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นทีมสีฟ้าอีกฟากจากเมืองเดียวกันกับพวกเขานั่นเอง

กรณีความพ่ายแพ้ต่อ บาเยิร์น มิวนิค รวมถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเกมเดียวกันของ คาร์ลอส เตเบซ ไม่ได้ทำให้สปิริต และผลงานของทีม “เรือใบสีฟ้า” สะดุดแต่อย่างใด เมื่อพวกเขาจัดการบุกไปรัว แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เรียบร้อยโรงเรียน อาบูดาบี ถึง 4-0

เกมครึ่งแรกนั้น ลูกทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ที่มีการปรับทัพไป 6 ตำแหน่ง ยังไม่ได้สร้างความอันตรายให้กับเจ้าถิ่นมากนัก แถม “เอล กุน” เซร์คิโอ อาเกโร่ ยังมามีอาการบาดเจ็บที่ขาหนีบขึ้นมาอีก

อดัม จอห์นสัน ประเดิมให้กับ ซิตี้ ออกนำไปก่อน 1-0 ก่อนที่ มาริโอ บาโลเตลลี่ จะทำประตู 2-0 ตามด้วย ซาเมียร์ นาสรี่ และ สเตฟาน ซาวิช ปิดท้ายให้เอาชนะไปในที่สุดด้วยสกอร์ 4-0 ทำให้พวกเขาเก็บไปถึง 25 จาก  27 แต้มหลังสุดในลีก

แม้จะยืนกรานหนักแน่นว่าไม่ขอลุกจากเก้าอี้ ทว่าแรงกดดันจากแฟนของตัวเองก็คงทำให้ สตีฟ คีน ทำงานด้วยความอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอันดับล่าสุดในลีกของทีม “กุหลาบไฟ” นั้นร่วงลงไปอยู่ในอันดับรองสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว

ในเกมวันเสาร์อีกหนึ่งคู่ที่น่าสนใจก็คือเกมที่ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ยกทัพไปเยือนรังของทีม “หมาป่า” วูล์ฟแฮมป์ตัน ถึงถิ่น โดยทีม “สาลิกาดง” มีผลงานที่ดีน่าพอใจในช่วงออกสตาร์ตฤดูกาลนี้

การดึง เดมบา บา มาเสริมทีม เริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าเป็นการเสริมทัพที่ยอดเยี่ยมมากของ อลัน พาร์ดิว และในเกมเยือนรัง โมลินิวซ์ เที่ยวนี้ บา ก็จัดการได้อีก 1 ประตู ทำให้ตอนนี้เขาทำไปถึง 4 ประตูจาก 2 เกมหลังสุดแล้ว ส่วนอีกประตูที่ทีม “สาลิกาดง” ได้ในเกมนี้มาจากความสามารถอันยอดเยี่ยมของ โจนาส กูเตียร์เรซ ที่ลากหลบผู้เล่นทีม “หมาป่า” ถึง 4 คนก่อนจะหลุดเข้าไปทำประตูย้ำชัย

แม้ว่า สตีเว่น เฟล็ทเชอร์ จะจุดประกายให้ วูล์ฟส์ ตีไข่แตก แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ทีมของ มิค แม็คคาร์ธีย์ มีคะแนนติดมือจากเกมนี้

ผลงานของ นิวคาสเซิล ในลีกสูงสุดเวลานี้ยอดเยี่ยมมาก พวกเขารั้งสูงถึงอันดับ 3 ในตารางคะแนน โดยเก็บไป 15 คะแนนตามหลัง 2 จ่าฝูงร่วมก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงแค่ 4 คะแนนเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นผลงานที่ดีที่สุดในลีกสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1994 นอกจากนี้พวกเขายังไม่แพ้ใครต่อเนื่องนานถึง 10 เกมเข้าให้แล้วด้วย ซึ่งหนสุดท้ายที่ไม่แพ้ใครติดกันด้วยจำนวนเกมเท่ากันนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1997 นู่นเลยทีเดียว

จับตาดูให้ดีครับ นิวคาสเซิล ปีนี้ มีโอกาสที่จะทะลุกลางปล้องขึ้นไปจนคว้าตั๋วไปเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรปในปีหน้าได้เช่นกัน หากพวกเขารักษามาตรฐานเหมือนที่แสดงให้เห็นในช่วงนี้ไว้ได้ยาวตลอดรอดฝั่ง

ในเกมวันอาทิตย์ นอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้ ระหว่าง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ กับ อาร์เซนอล ถือเป็นคู่เรียกแขกคู่สำคัญ เพราะนอกจากจะต้องการคะแนนเพื่อทำอันดับให้สูงขึ้นกว่าเดิมเหมือนกันแล้ว ยังเป็นเกมแห่งศักดิ์ศรีที่ไม่มีใครจะยอมให้กันได้ง่ายๆ

ปีที่แล้ว สเปอร์ส ของ แฮร์รี่ เรดแนปป์ ทำผลงานได้ดีถึงขนาดที่บุกไปเชือด “ไอ้ปืนใหญ่” ถึงรัง 3-2 ปีนี้นัดแรกมาซัดกันที่ ไวท์ ฮาร์ท เลน โดยอันดับของ สเปอร์ส นั้นดีกว่าด้วย

เกมคู่นี้ยังเปี่ยมด้วยความเข้มข้นเหมือนเดิม ก่อนจะลงเอยด้วยชัยชนะของเจ้าบ้าน ส่วน อาร์เซนอล นอกจากจะช้ำใจแล้ว ยังมีนักเตะเจ็บหนักอีกหนึ่งรายนั่นคือ บาการี่ ซานญ่า ที่โชคร้ายขาหักและคาดว่าจะต้องพักรักษาตัวอย่างต่ำเป็นเวลาถึง 3 เดือนเลยทีเดียว

สเปอร์ส เป็นฝ่ายขึ้นนำไปก่อนจาก ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ต ที่ทำประตูที่ 1,000 ในประวัติศาสตร์สโมสร แม้ว่านักเตะอาร์เซนอลจะพยายามประท้วงว่า ฟาร์ต ทำแฮนด์บอล ก่อนจะทำประตูได้ แต่เป็น สเปอร์ส ที่โชคดีรอดตัวและได้ผลพลอยได้ไปเต็มๆ พร้อมกับจบครึ่งแรกด้วยการขึ้นนำอยู่ 1-0

ครึ่งหลัง ผ่านไป 5 นาที อารอน แรมซี่ย์ ตีเสมอให้กับ อาร์เซนอล ได้เร็ว ทว่าฮีโร่ของกองเชียร์ “ยิด อาร์มี่” ในเกมนี้กลายเป็นนักเตะเกมรับที่ชื่อ ไคล์ วอล์คเกอร์ เมื่อเขาขึ้นมาทำประตูที่สวยจากระยะประมาณ 25 หลา ก่อนหมดเวลา 17 นาทีให้กับเจ้าบ้านนั่นเอง

หลังจบเกมมีประเด็น อาร์แซน เวนเกอร์ กับสตาฟฟ์โค้ชของเจ้าบ้านอย่าง ไคลฟ์ อัลเลน เกิดเขม่นใส่กันก่อนจะเดินลอดอุโมงค์กลับไปยังห้องแต่งตัวด้วย ดีที่ไม่มีเรื่องเสียหายกว่านี้เกิดขึ้น

เรียกว่าตั้งแต่โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยำใหญ่ไปแล้วนั้น สเปอร์ส กลับมาแสดงผลงานได้ดีเหมือนกับเป็นคนละทีมเดียวกัน จนตอนนี้พวกเขารั้งอยู่ในอันดับที่ 6 ขณะที่ อาร์เซนอล ร่วงไปอยู่ในครึ่งล่างของตารางคะแนน และทำท่าว่าจะเป็นปีที่สาหัสสำหรับเหล่าแฟนบอล กันเนอร์ส กับการติดตามเชียร์ทีมรักของตัวเองให้มีผลงาน และอันดับที่ดีในพรีเมียร์ลีกเหมือนเช่นที่ผ่านมา

สุดสัปดาห์หน้าเป็นคิวของเกมทีมชาติ โดยกว่าจะกลับมาเตะกันอีกครั้งคงต้องเป็นในสัปดาห์หน้ากันเลย และพลาดไม่ได้สำหรับเกมแดงเดือด ที่สนาม แอนฟิลด์ แล้วกลับมาพบกันใหม่ครับ

เรื่องโดย "มาร์ค สุรเดช"

คอลัมน์ review premier นสพ.กีฬาฮอตสกอร์ 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook