"เฟเยนูร์ด" จ่อแชมป์ลีกดัตช์!?
อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า แดนนี่ บลินด์ ก็โดนเด้งดึ๋งออกจากตำแหน่งกุนซือทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ไปเมื่อไม่ถึงสัปดาห์ สังเวยผลงานย่ำแย่ในบอลโลก รอบคัดเลือก
ก็ต้องรอดูกันว่า ใครจะมารับเผือกร้อน แทนคุณพ่อของดาลี่ย์ บลินด์ ซึ่งมีกระแสข่าวว่า หลุยส์ ฟาน ฮัล อาจจะกลับมาคุม “ฟลายอิ้ง ดัตช์แมน” เป็นคำรบ 3
แต่โค้ชคนใดก็ตาม ที่ได้มาคุมบังเหียน ยังไงซะ ก็คงหนีไม่พ้นความกดดันอยู่ดี กับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในเวลานี้
เรื่องความวุ่นวายของทีมชาติเอาไว้ก่อน เพราะในวันอาทิตย์นี้ เกมลีกในประเทศ มีแมตช์สำคัญ เป็นการพบกันของสองสโมสรคู่ปรับอันดับหนึ่งของแดนกังหัน
นั่นคือ อาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม ปะทะ เฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม หรือที่เรียกกันแบบกิ๊บเก๋ว่า “เดอ คลาสิเกอร์” (De Klassieker)
ซึ่งในคอลัมน์วันนี้ ผมจะขอโฟกัสไปที่เฟเยอนอร์ด เป็นหลักนะครับ เพราะในซีซั่นนี้ มีลุ้นที่จะคว้าแชมป์เอเรดิวิซี่ เป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี ของสโมสร
ในซีซั่น 1998-99 เฟเยนูร์ด คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศ โดยมีคะแนนมากกว่า วิลเล่ม ทเว รองแชมป์ ห่างถึง 15 คะแนน ตามมาด้วยพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ในอันดับ 3 ส่วนอาหยักซ์ จบแค่ที่ 6
ทีมชุดนั้น นำโดยกุนซือลีโอ บีนฮัคเกอร์ พร้อมด้วยแข้งดาวดังหลายคน อย่างเช่น เจอร์ซี่ ดูเด็ค ผู้รักษาประตูโปแลนด์ รวมทั้งศูนย์หน้าคู่หูอย่างฮูลิโอ ครูซ และยอน ดาห์ล โทมัสสัน เป็นต้น
โลกลูกหนัง ณ เวลานั้น แฟนบอลยังไม่รู้จักนักเตะอย่างลิโอเนล เมสซี่ และคริสติอาโน่ โรนัลโด้ เนื่องจากทั้งคู่ยังเล่นให้ชุดเยาวชนกับสโมสรที่ประเทศบ้านเกิดอยู่เลย
แต่หลังจากความสำเร็จดังกล่าว ชาวเมืองร็อตเตอร์ดัม ทำได้แค่นั่งดูคู่ปรับตัวฉกาจอย่างพีเอสวี คว้าแชมป์ถึง 9 ครั้ง, อาหยักซ์ 6 หน รวมถึงมีม้ามืดอย่าง เอแซด อัลค์มาร์ และทเวนเต้ สอดแทรกอยู่ด้วย ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา
ด้วยเหตุที่สโมสรประสบปัญหาทางด้านการเงิน ทำให้พวกเขาจบฤดูกาลต่ำกว่า 3 อันดับแรก ถึง 5 ซีซั่นติดต่อกันนับตั้งแต่ซีซั่น 2006-07 ถึง 2010-11
โดยเฉพาะในฤดูกาล 2010-11 ที่ยอดทีมแห่งร็อตเตอร์ดัมห่วยแตกสุดๆ จบฤดูกาลได้แค่ที่ 10 แถมเกมอัปยศประจำซีซั่น คือการโดนพีเอสวี วินาศกรรมขี้แตกถึง 10-0 ทำสถิติแพ้ขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรอีกด้วย
ซึ่งนับตั้งแต่ลีกสูงสุดฮอลแลนด์ ใช้ชื่อว่า “เอเรดิวิซี่” ในฤดูกาล 1956-57 พวกเขาจบในอันดับท็อปเท็นแค่ 4 ครั้งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลถัดมา (2011-12) เฟเยนูร์ด ก็ค่อยๆฟื้นคืนชีพขึ้นมา โดยโรนัลด์ คูมัน นายใหญ่ของทีมในขณะนั้น ได้สร้างทีมใหม่ด้วยนักเตะดาวรุ่งในประเทศ และพาทีมจบตำแหน่งรองแชมป์
เมื่อการสร้างนักเตะเยาวชนได้ผลในทางที่ดี อีกทั้งการเงินในสโมสรก็ค่อยๆดีขึ้น ทำให้พวกเขาสามารถดึงแข้งเก๋าประสบการณ์มาช่วยทีมอย่าง คาริม เอล อาห์มาดี้ รวมถึงเดิร์ก เค้าท์ ที่ได้กลับคืนถิ่นเก่าอีกครั้ง
ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เฟเยนูร์ด เสริมผู้เล่นได้น่าสนใจ ทั้งนิโคไล จอร์เกนเซ่น ศูนย์หน้าชาวเดนมาร์ก และ สตีเฟ่น แบร์กุยส์ ปีกเลือดดัตช์ ที่ยืมตัวมาจากวัตฟอร์ด เพื่อมาลุ้นแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้
ทีมของกุนซือโจวานนี่ ฟาน บรองค์ฮอร์สต์ ออกสตาร์ตซีซั่นสุดร้อนแรง ชนะ 9 นัดรวด และเสียแค่ 3 ประตูเท่านั้น ก่อนที่จะพบคู่อริตลอดชาติอย่าง อาหยักซ์
ในเกม “เดอ คลาสิเกอร์” ยกแรก ที่ร็อตเตอร์ดัม เมื่อเดือนตุลาคม เดิร์ก เคาท์ ยิงตีเสมอในช่วง 5 นาทีสุดท้ายของเกม แบ่งแต้มด้วยผลเสมอ 1-1
แล้วใครจะไปคิดว่า อีก 2 เกมถัดมา จะสะดุดอย่างจัง ด้วยการเจ๊าฮีเรนวีนในบ้านตัวเอง 2-2 และพลิกล็อก บุกพ่ายโก อเฮด อีเกิ้ลส์ ทีมท้ายตาราง 0-1
แต่หลังจากนั้น เฟเยนูร์ด ก็ฟอร์มเข้าเบรกอีกครั้ง ด้วยการเก็บชัยชนะ 10 เกมรวด ก่อนจะสะดุดอีกครั้ง ในเกมร็อตเตอร์ดัม ดาร์บี้ บุกพ่าย สปาร์ต้า 0-1
โดนทีเด็ดของมัทธีอัส ป็อกบา พี่ชายแท้ๆ ของปอล ป็อกบา ยิงประตูชัยในเกมนั้น ทั้งๆที่เกมแรกในดาร์บี้แมตช์ เฟเยนูร์ด เปิดบ้านถล่มถึง 6-1
แน่นอนว่า คีย์แมนของเฟเยนูร์ด ในซีซั่นนี้ คือจอร์เกนเซ่น นี่แหละ ที่ทำไปแล้ว 10 ประตู นำเป็นดาวซัลโวประจำสโมสรในเวลานี้
ดาวยิงวัย 26 ปี เคยค้าแข้งกับไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในเยอรมัน อยู่ 2 ฤดูกาล ก่อนจะมาสร้างชื่อกับสโมสรโคเปนเฮเก้น ด้วยผลงาน 51 ตุง ตลอด 4 ซีซั่น กับยอดทีมแดนโคนมทีมนี้
สำหรับทางฝั่งอาหยักซ์ เกมในวันนี้ ถือว่าสำคัญสุดๆ เพราะถ้าพลาดท่าแพ้คาบ้าน จะโดนคู่อริถ่างช่องว่างเพิ่มเป็น 9 แต้ม และจะเหลือโปรแกรมแค่ 6 นัด โอกาสลุ้นแชมป์คงลำบาก
ถ้าเสมอยังตาม 6 เท่าเดิม แต่ถ้าหากชนะ จะลดช่องว่างเหลือแค่ 3 เท่านั้น การลุ้นแชมป์จะยิ่งเข้มข้นกว่าเดิมแน่นอน
อย่างไรก็ตาม อาหยักซ์ ยังมีโปรแกรมถ้วยยูโรป้า ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย ช่วงกลางเดือน และอีก 3 วันหลังจากเจอชาลเก้ในเลกสอง ต้องออกไปเยือนพีเอสวี ตัดแต้มกันเองอีกด้วย
ปัญหาของอาหยักซ์ในซีซั่นนี้ คือมีนักเตะดาวรุ่งโดยส่วนมาก แถมต้องแบกภาระในเกมระดับสูง ซึ่งนี่อาจจะเป็นโอกาสดีของ เฟเยนูร์ด ในการยุติการรอคอยโทรฟี่อันแสนยาวนานได้เสียที
สถานการณ์การลุ้นแชมป์เอเรดิวิซี่ในฤดูกาลนี้ จะเป็นไปในทิศทางใด อาหยักซ์ จะเป็นผู้ให้คำตอบกับ เฟเยอนอร์ด ในวันอาทิตย์นี้