‘หมูชรา’สุดคลาสสิก

‘หมูชรา’สุดคลาสสิก

‘หมูชรา’สุดคลาสสิก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอลเอฟเอ คัพ เดินทางมาถึงแล้วครับพี่น้อง!

“ถ้าไม่มียักษ์ล้ม ก็ไม่ใช่เอฟเอ คัพ” วลีเด็ดเกร็ดดี ๆ เกี่ยวกับการดวลแข้งรายการนี้ที่ถือว่าสุดยอด และครองหัวใจของแฟนฟุตบอลมาอย่างยาวนานถึง 131 ปี

นานแบบสุดขั้วหัวใจจริง ๆ!!!

ปีนี้เปิดหัวรอบ 3 รอบแรกที่ทีมจากพรีเมียร์ลีก และเดอะ แชมเปี้ยนชิพ จะลงสนาม โดยเกมแรกในวันศุกร์นี้มีการดวลแข้ง 1 คู่

“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จะเล่นในสนามแอนฟิลด์ เจอกับ “หมูชรา” โอลด์แฮม แอธเลติก ทีมจากลีก วัน ซึ่งในอดีตเคยอยู่ในลีกสูงสุดเช่นกัน

ลิเวอร์พูล คงไม่ต้องพูดถึงอีกเพราะช่วงหลังบ่อยแล้ว แต่ โอลด์แฮม นี่แหละน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะมีโอกาสที่จะเป็นทีมแรกที่สามารถ “ล้มยักษ์”ได้ในฤดูกาลนี้

เหตุผลก็ไม่ใช่อะไรมาก พวกเขามีโอกาสเล่นทีมแรกนั่นเอง

เมื่อก่อนนี้ โอลด์แฮม ถูกเรียกว่า “โอลด์แฮม” เมื่อพวกเขาสามารถสร้างความตื่นเต้นระทึกใจแม้จะไม่ถึงกับคำว่าสยองขวัญก็ตาม

แต่มันก็ใกล้เคียงเหมือนกัน

ในซีซั่น 1989-90 โอลด์แฮม ทีมระดับกลาง ๆ ค่อนมาทางด้านบนจากดิวิชั่น 2 หรือเดอะ แชมเปี้ยนชิพในปัจจุบัน ถูกจับตามองอย่างมาก เมื่อพวกเขาสร้างผลงานในฟุตบอลถ้วยได้อย่างเหลือเชื่อไม่ใช่แค่เกมเอฟเอ คัพ เท่านั้น แต่รวมไปถึง ลีก คัพ อีกด้วย

พวกเขาเดินหน้าเข้าสู่สนามเวมบลีย์ ในเกมนัดชิงชนะเลิศลีก คัพ ปีที่ 30 ได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยขุนพลที่หลายคนอาจจะคุ้นชื่อคุ้นหูคุ้นตาเป็นอย่างดี แม้ว่าตอนนั้นจะไม่ค่อยดังเท่าไหร่นัก

ทีมนั้นมีแบ็กที่ชื่อ เดนนิส เออร์วิน ที่ต่อมาก็กลายมาเป็น “สโนไวท์แห่งโอลด์ แทรฟฟอร์ด” มีคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟคือ เอิร์ล บาร์เร็ตต์ ที่ต่อมาก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษ และเป็นหนึ่งในกองหลังที่ค่าตัวแพงที่สุดในวงการลูกหนังเมืองผู้ดี โดย บาร์เร็ตต์ เล่นคู่กับ พอล วอร์เฮิร์สท์ ที่ต่อมาก็ดังกับ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ เนื่องจากสามารถเล่นกองหน้าได้อีกด้วย

แดนมิดฟิลด์มี ไมค์ มิลลิแกน ที่คุมเกมได้ดีมาก และได้ย้ายมาอยู่ เอฟเวอร์ตัน ในยุคต่อมา ส่วนกองหน้าเจ้าของฉายา “ไอ้หัวขิง” แอนดี้ ริทชี่ และไอ้หัวหยองอย่าง เอียน มาร์แชลล์

น่าเสียดายพวกเขาแพ้ให้กับทีมดาวรุ่งอย่าง “เจ้าป่า” น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ของจอมกุนซือ “ปากตะไกร"”ไบรอัน คลัฟ ไปอย่างหวุดหวิด 0-1

เท่านั้นยังไม่พอ โอลด์แฮม ทะลุเข้าถึงรอบตัดเชือกเอฟเอ คัพ โคจรมาเจอกับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต้องการแชมป์รายการนี้เพื่อเซฟเก้าอี้ของกุนซือที่มือเปล่ามาจะครบ 4 ปีอย่าง อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

เกมนัดแรกเสมอกันอย่างดุเดือดในเวลา 2-2 ก่อนจะเสมอกันอีกในช่วงต่อเวลาเป็น 3-3 ต้องรีเพลย์แมทช์ และ ยูไนเต็ด ก็บดเอาชนะไปได้ในช่วงต่อเวลา 2-1

ว่ากันว่าเกมนั้น โจ วอร์เรลล์ ผู้ตัดสินนั้นผิดพลาดเมื่อไม่ให้ประตูแก่ นิค เฮนรี่ ที่ยิงข้ามเส้นไปแล้ว ไม่อย่างนั้นประวัติศาสตร์อาจเปลี่ยน

หนึ่งปีหลังจากนั้นพวกเขาคว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 และก้าวขึ้นชั้นมาในซีซั่น 1991-92 ซึ่งผู้จัดการทีมของโอลด์แฮม คือกุนซือเจ้าเวหาที่ชื่อว่า โจ รอยล์ นั่นเอง

จากนั้นในปี 1994 โอลด์แฮม เข้าถึงรอบตัดเชือกเอฟเอ คัพ อีกครั้ง และดวลกับ แมนฯยูไนเต็ด อีกครา พวกเขาน่าจะได้เข้าชิงแต่ถูก มาร์ค ฮิวจ์ส ยิงตีเสมอในนาทีที่ 119 ทำให้ต้องรีเพลย์แมตช์ก่อนจะแพ้กระจุย 1-4 และต้องตกชั้นไป

จากนั้นก็ไม่เคยได้ขึ้นมาลีกสูงสุดอีกเลย


ปัจจุบัน “หมูชรา” อยู่อันดับ 14  ของลีกวัน มีกุนซือคือ พอล ดิ๊กคอฟ อดีตหัวหอกจอมดีเดือดของแมนฯซิตี้ เป็นกุนซือ มี ฟิลิเป้ มอราอิส อดีตปีกเด็กปั้นเชลซี เป็นตัวเดินเกม และมี ดีน เฟอร์แมน เป็นกัปตันทีม ส่วนที่เหลือก็ไม่ตื่นเต้นอะไร

จะมีนิดหน่อยก็ตรงที่ อันเดรีย มันชินี่ ลูกชายของ โรแบร์โต้ มันชินี่ กุนซือแมนฯซิตี้คนปัจจุบัน อยู่ในทีมด้วยในฐานะนักเตะตัวยืมแต่ไม่เคยลงสนาม

นี่คือ โอลด์แฮม ที่ผมพอจะรู้จักก็เลยมาเล่าสู่กันฟัง

ยิ่งไปกว่านั้น ลิเวอร์พูล กับ โอลด์แฮม น่าจะได้ชิงชนะเลิศถ้วยใบนี้ด้วยซ้ำไปเมื่อปี 1991 แต่ตกรอบตัดเชือกพร้อม ๆ กัน

โอลด์แฮม  อย่างที่บอกไปแพ้ ยูไนเต็ด ในนัดรีเพลย์ ส่วน ลิเวอร์พูล เจ็บปวดกว่าเมื่อแพ้ คริสตัล พาเลซ ในช่วงต่อเวลา 3-4 ทั้งที่ต้นซีซั่นเพิ่งจะยำ พาเลซ ทีมนี้ย่อยยับ 9-0 ในเกมดิวิชั่น 1 หมาด ๆ ตอกย้ำกันอีกครั้งว่า นี่แหละหนา

ถ้าไม่มียักษ์ล้ม...ก็ไม่ใช่เอฟเอ คัพ!!!!!

เรื่องโดย " บี แหลมสิงห์"

คอลัมน์ may i come in please นสพ.กีฬารายวันฮอตสกอร์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook