ชัยชนะของ‘หงส์แดง’

ชัยชนะของ‘หงส์แดง’

ชัยชนะของ‘หงส์แดง’
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ไม่เคยมีอะไรที่ได้มาง่ายๆ จริงๆ สำหรับ ลิเวอร์พูล ใน ค.ศ.นี้

ไม่ต้องอื่นไกล คิดเอาตั้งแต่ยุคมิลเลนเนียมเป็นต้นมา ลิเวอร์พูล กว่าจะได้แชมป์แต่ละรายการแทบจะกระอักเลือดเป็นลิ่มๆ แทบจะทุกเกม
           
ขอใช้คำว่าแทบจะทุกเกมครับ
         
นับตั้งแต่โลกเรามุ่งหน้าสู่คำว่า 2000 ลิเวอร์พูล เข้าชิงฟุตบอลถ้วยทั้งหมด 8 รายการ ได้แชมป์มาครองทั้งหมด 6 รายการ
           
หนึ่งเดียวจาก 6 ครั้งที่เหมือนกับว่า สกอร์ขาดลอยที่สุดในการได้แชมป์คือชัยชนะเหนือ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-0 ในเกมคาร์ลิ่ง คัพ ปี 2003 แต่สถานการณ์ในเกมนั้นไม่ใช่เลย

ปี 2001 เข้าชิงบอลถ้วย 3 รายการได้แชมป์ทั้ง 3 รายการ แต่ปรากฏว่ารากเลือดทุกครั้ง เมื่อโดนตีเสมอนาทีสุดท้าย ก่อนจะเอาชนะ เบอร์มิงแฮม ด้วยการยิงจุดโทษได้แชมป์คาร์ลิ่งคัพ ต่อด้วยเป็นรอง อาร์เซนอล ทั้งเกมแต่พลิกกลับมาได้สองประตูรวดกลับมาชนะ 2-1 และต้องเล่นถึงต่อเวลาก่อนจะชนะโกลเด้นโกล์เหนือ อลาเบส 5-4 ในยูฟ่า คัพ ไฟนอล
           
ปี 2005 มหัศจรรย์ที่อิสตันบูล เตะใหม่อีกร้อยทีก็ทำแบบนี้ไม่ได้ เมื่อตามหลัง “ปิศาจแดงดำ” เอซี มิลาน แห่งอิตาลี ถึง 0-3 แต่กลับมาตีเสมอได้สำเร็จ ก่อนจะลากไปประหารด้วยการดวลจุดโทษ
           
ปี 2006 เข้าชิงเอฟเอ คัพ ต้องไล่ตามตีเสมอ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 3-3 ก่อนจะยิงจุดโทษชนะได้แบบหืดขึ้นคอ
           
เช่นกันในครั้งนี้ การเป็นแชมป์แรกในรอบ 17 ปี ที่เวมบลีย์ และการได้มาเล่นในรอบ 16 ปีที่เวมบลีย์ ยุติการรอคอยแชมป์ 6 ปีได้สำเร็จ พร้อมกับแชมป์ลีกคัพสมัยที่ 8 สูงที่สุดบนเกาะอังกฤษ

ถามว่าควรจะภูมิใจกับสถิตินี้หรือไม่ คำตอบง่ายๆ คือ ที่สุดของแจ้แล้วล่ะครับ
           
เมื่อสภาพทีมของ ลิเวอร์พูล ที่ได้เวลา “ผ่าตัดใหญ่” มีการเปลี่ยนที่ต้องนำเอา “เหล้าเก่า” อย่าง เคนนี่ ดัลกลิช เข้ามาใส่ในขวดใหม่ครั้งแรกในรอบ 20 ปี การชุบชีวิตทีมนั้นต้องใช้เวลาอย่างมาก โดยเฉพาะแผงมิดฟิลด์ที่เป็นหัวใจหลักในการเล่นฟุตบอลต้องมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
           
สตีเว่น เจอร์ราร์ด กับ ลูคัส เลว่า บาดเจ็บ ทำให้ ชาร์ลี อดัม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ผู้มาใหม่ต้องแบกทีมแทนที่ รวมไปถึง เจย์ สเปียริ่ง ที่ต้องขึ้นชั้นมาอยู่ทีมชุดใหญ่เต็มตัวแบบก้าวกระโดด
           
แผงมิดฟิลด์ลิเวอร์พูลวุ่นวายจริงๆ ไม่งั้นคงไม่เรียก จอนโจ้ เชลวี่ย์ กลับมาเสริมทีมกลางคันแบบนี้

กระทั่งเริ่มเป็นรูปเป็นทรงขึ้นเมื่อ เจอร์ราร์ด ที่แม้จะไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน แต่การที่ยี่ห้อ เจอร์ราร์ด การันตีคุมแดนกลาง ย่อมให้ทุกอย่างสมดุลขึ้น แม้ว่าบางทีคนอื่นที่เหลือจะไม่ได้เล่นแบบเต็มที่นักก็ตาม
           
แต่มันก็เข้าตำราที่ว่า มีดีกว่าไม่มี
           
ส่งผลให้เกมในแดนกลางของทีมดูลงตัวขึ้นเรื่อยๆ เพราะต้องเล่นให้รู้ใจกัน หลายทีมที่เป็นแบบนี้ประสบปัญหาทั้งนั้น ไม่ต้องอื่นไกล แมนฯซิตี้ เสีย ยาย่า ตูเร่ แค่คนเดียว ความดุดันหายไปมีแต่ความพลิ้วไหวที่บางครั้งไม่เพียงพอ
           
เช่นเดียวกับ แมนฯยูไนเต็ด ที่ต้องเสีย 4 มิดฟิลด์ตัวจริงของทีมในปีนี้ไปกว่า 3 เดือน ส่งผลต่อการเล่นชัดเจน เพียงแต่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน รู้จักที่จะสอนสั่งลูกทีมว่า เล่นให้ชนะมันเป็นยังไง ทำให้ ยูไนเต็ด ยังอยู่บนเส้นทางลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก สมัยที่ 20
         
ขณะที่ อาร์เซนอล การเสีย เชส ฟาเบรกาส กับ ซาเมียร์ นาสรี่ สร้างหายนะช่วงต้นซีซั่นชัดเจนอย่างที่สุด ในทางกลับกัน สเปอร์ส ที่ดีมาตลอดปีนี้ยกเว้นเกมที่แล้ว ได้แค่ สก็อตต์ ปาร์เกอร์ มาเติมแค่คนเดียว ทำให้ทุกอย่างลงตัว
           
อีกหนึ่งตัวอย่างคือ เชลซี สังเกตดีๆ ว่า ปีนี้ใช้กองกลางสลับกันลงเล่นแทบจะทุกนัด นอกจากความแก่แล้ว ความเข้าใจในแกมหายไปหมดสิ้น
           
ถือว่าหัวใจสำคัญจริงๆ สำหรับห้องเครื่อง
           
ตัดกลับมาที่ ลิเวอร์พูล จากนี้ไปหลายคนมองว่า ความสำเร็จกำลังจะเดินทางมาถึงอีกครั้ง เมื่อสามารถประเดิมแชมป์แรกในการกลับมาแค่ 13 เดือนของ ดัลกลิช นั้นมันจะจริงหรือไม่

ดัลกลิช ยุคใหม่กำลังจะทำทีมเดินต่อไปอย่างไร สไตล์การเล่นแบบไหน ยังเป็นปริศนาในตอนนี้ แต่อย่างน้อยๆ ลักษณะ “การยืน” ของนักเตะนั้นน่าสนใจทีเดียว เพราะเขาเริ่มจะหันกลับไปใช้แบบเดิมที่คุมทัพเมื่อยุคแรกที่ทำงาน

ผมโชคดีที่ได้เห็น เคร็ก จอห์นสตัน, รอนนี่ วีแลน, เรย์ เฮาจ์ตัน ทำหน้าที่ลักษณะ “โกสต์ เพลเยอร์” ให้กับทีม คือวิ่งส่ายไปมา ทำทางให้เพื่อน มันเพลินตาดีมาก แต่ทีมชุดนี้ใครล่ะครับจะเล่น

ที่ผ่านมาคือ ไอ้หนูเฮนเดอร์สัน ที่ได้เล่นตรงนี้ แต่เขายังอ่อนเกินไป เพราะตำแหน่งนี้นอกจากจะใช้พละกำลังแล้ว ทักษะในการเล่นและความกล้าหาญต้องมี

3 คนที่เอ่ยมานั้นมีทั้งหมด และมักจะถูกที่ถูกเวลาเสมอ แต่ในทางกลับกัน เฮนเดอร์สัน ยังขาดความมั่นใจในการเล่น

ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งจอมทัพในการคุมเกมต้องชัดเจน เมื่อ เจอร์ราร์ด ใกล้ถึงเวลาตามประสาวัย น่าสนใจว่า จอมทัพคนต่อไปของทีมจะเป็นใคร หากไม่เริ่มหาและจัดตั้งให้ชัดเจนเสียแต่วันนี้

ก็จะมีแต่ “ปฐมบท” ต่อไป ไม่ถึงจุดที่ตั้งไว้...ซะที!

เรื่องโดย " บี แหลมสิงห์ "

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook