เรื่องเล่าจากตำนาน "เกล็น ฮ็อดเดิ้ล เมืองไทย"

เรื่องเล่าจากตำนาน "เกล็น ฮ็อดเดิ้ล เมืองไทย"

เรื่องเล่าจากตำนาน "เกล็น ฮ็อดเดิ้ล เมืองไทย"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในวันอำลาสนามไวท์ ฮาร์ท เลน ของยอดทีมจากกรุงลอนดอนอย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ผมนั่งคุยอยู่กับตำนาน เกล็น ฮ็อดเดิ้ล เมืองไทยอย่าง “พี่หนุ่ย” เฉลิมวุฒิ สง่าพล อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติไทยที่ได้ชื่อว่าเป็นคนเปิดบอลยาวได้ดีที่สุด แถมยังมีหุ่น ทรงผม และสไตล์การเล่นที่คล้ายคลึงกับอดีตมิดฟิลด์ “เท้าชั่งทอง” ของสเปอร์ส จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น เกล็น ฮ็อดเดิ้ล เมืองไทย

อย่างว่านะครับ คนมีอายุคุยกัน คงไม่แคล้วต้องคุยเรื่องความหลัง หลังจากเม้าธ์อดีตกันไปหลายเรื่อง “พี่หนุ่ย” ก็ปรารภขึ้นมาลอยๆว่า “แปลกเนอะ.. เดี๋ยวนี้ฟุตบอลลีกเราเจริญ แต่นักบอลเรา พอโดนชาติอื่นไล่บี้ เอาตัวรอดกันไม่ค่อยได้”

“สมัยก่อนเราเจอกับญี่ปุ่นนี่เราไม่กลัวเลยนะ เพราะเขามีแต่กำลัง วิ่งเข้ามาหา นักบอลไทยชอบเสียด้วยซ้ำ เจอเกาหลีใต้หรือตะวันออกกลางนั่นแหละถึงจะหนักใจ เผลอแป๊บเดียว ตอนนี้ไม่รู้ญี่ปุ่นไปอยู่ไหนแล้ว”

 c

ผมนึกขึ้นได้ว่า เหตุการณ์ที่พี่หนุ่ยเล่านั้นมัน พ.ศ.2527 (ค.ศ.1984) หรือ 33 ปีก่อน ทีมไทยได้ไปเล่นฟุตบอลปรีโอลิมปิก รอบสุดท้าย แล้วถล่มทีมอาทิตย์อุทัยไปขาดลอยถึง 5-2 ซึ่งนับเป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ทีมชาติไทยชุดใหญ่เอาชนะญี่ปุ่นได้ในแมทช์ฟีฟ่ารับรองอย่างเป็นทางการ (อีกเกมชนะ 3-1 คือนัดอุ่นเครื่องเมื่อปี ค.ศ.1997)

ในความทรงจำอันเรืองรองครั้งนั้น ปิยะพงษ์ ผิวอ่อนกระหน่ำแฮตทริก ตัว “พี่หนุ่ย” และ “พี่ป้ำ” วรวรรณ บวกอีกคนละหนึ่งลูก โดยทีมชุดนั้นมี ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน เป็นศูนย์หน้า เฉลิมวุฒิ สง่าพล และ วรวรรณ ชิตวณิช เป็นตัวขับเคลื่อนในแดนกลาง

สองแบ็คขวา-ซ้าย เป็น สุทิน-สุรักษ์ ไชยกิตติ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟเป็น “น้าอำ” อำนาจ เฉลิมชวลิต และประพันธ์ เปรมศรี จับคู่ ประตูเป็น สมปอง นันทประภาศิลป์

 659527034

แกร่งทั่วแผ่น! และแน่นอนเอาตัวรอดในสถานการณ์เดี่ยวต่อเดี่ยวได้ทุกคน คุมทีมโดย อ.ประวิทย์ ไชยสาม ผู้ปลุกปั้น “เดอะ ตุ๊ก” ดังสนั่นทั่วเอเชียในเวลาต่อมา

“พี่ว่าจากความผิดหวังครั้งนั้นน่ะแหละ ทำเอาญี่ปุ่นถึงกับเสียศูนย์ จนกลายเป็นแรงฮึดและจุดเริ่มต้นของการวางแผน นำอดีตฟุตบอลเก่งๆหลายคนกลับมาช่วยคิด ช่วยพัฒนาวงการฟุตบอลบ้านเขา โดยกำหนดเป็นแผนไปบอลโลกภายใน 10 ปี ด้วยการระดมความร่วมมือจากทุกฝ่าย” อดีตยอดมิดฟิลด์ทีมชาติไทยผู้นี้กล่าวถึงความหลังด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

ต่อมาด้วยความตั้งใจและแน่วแน่ ทีมชาติญี่ปุ่น ใช้เวลาจริงๆคือ 10 ปีนิดๆ ก็สามารถพาตัวเองไปสู่ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ที่ฝรั่งเศสได้สำเร็จเมื่อปี ค.ศ.1998 ปัจจุบันพวกเขาสามารถต่อกรกับทุกทีมได้ในโลก ขณะที่ไทยเราซึ่งเคยชนะพวกเขาได้เมื่อปี 1984 ตอนนี้ยังคงตั้งมั่นกับการคว้าแชมป์ฟุตบอลระดับซีเกมส์อย่างแน่วแน่

เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

คอลัมน์สนุกมือ // ธีรพัฒน์ อัครเศรณี

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook