พระเอกตายตอนจบ
ในฤดูกาล 1995/96 เควิน คีแกน นำนิวคาสเซิลสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นจนขึ้นนำเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกมาเกือบตลอด โดยทำคะแนนทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้สูงสุดถึง 12 แต้มในช่วงเดือนมกราคม
แต่หลังจากนั้นนิวคาสเซิลก็เริ่มฟอร์มแกว่ง จนถูกแมนฯ ยูไนเต็ดทำแต้มไล่จี้ขึ้นมาเรื่อยๆ และเมื่อผีแดงบุกไปคว้าชัยที่รังเซนต์ เจมส์ปาร์คได้ 1-0 ในเดือนมีนาคม ช่องว่างของคะแนนระหว่างทั้งสองทีมก็ลดลงมาเหลือแต้มเดียวเท่านั้น
หลังการขับเคี่ยวที่เข้มข้นในช่วงโค้งสุดท้าย ซึ่งทั้งสองทีมผลัดกันนำผลัดกันตามอย่างคู่คี่สูสี แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เป็นฝ่ายชิงความได้เปรียบไว้ได้ก่อนด้วยการคว้าชัยในนัดรองสุดท้าย ทำให้นำห่างไปก่อนถึง 6 คะแนน แต่นิวคาสเซิลยังเหลือเกมตกค้างอยู่ในมืออีก 2 นัด
ถึงตอนนี้อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดกุนซือสุดเขี้ยวของผีแดง ก็เปิดฉากทำสงครามประสาทกับคู่แข่งทันที ด้วยการออกมาบอกว่าทีมอื่นๆ อาจจะไม่เน้นมากเวลาเจอกับสาลิกาดง ต่างกับเวลาที่เจอกับทีมของเขาที่ทุกทีมพยายามเต็มที่ที่จะเอาชนะได้
นิวคาสเซิลเอาชนะได้ในเกมนัดตกค้างนัดแรกด้วยการบุกไปชนะลีดส์ 1-0 แต่ก็ไปพลาดท่าทำได้แค่เสมอ 1-1 ในการไปเยือนน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในนัดรองสุดท้ายของตัวเอง ทำให้ยังตามหลังอยู่ 2 คะแนนเมื่อเหลืออีกเกมเดียว
หลังจบเกมฟอเรสต์ที่ทำให้สถานการณ์ของนิวคาสเซิลเป็นรองเยอะก่อนเกมชี้ชะตานัดปิดซีซั่น คีแกนก็ระเบิดอารมณ์ปลดปล่อยความคับแค้นใจที่มีต่อเฟอร์กี้ออกมาแบบอันคัต เพราะเป็นการให้สัมภาษณ์สดทีวีช่องสกายสปอร์ต ด้วยการจวกพฤติกรรมของกุนซือแมนฯ ยูไนเต็ดเป็นชุด ด้วยสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยว
“เมื่อคุณทำแบบนั้นกับนักฟุตบอลอย่างที่เขาพูดถึงลีดส์ และเมื่อคุณทำแบบนั้นกับคนอย่างสจ๊วร์ต เพียร์ซ (ผู้จัดการทีมฟอเรสต์) ผมยอมนิ่งมานานแล้ว แต่ผมขอบอกไว้เลยว่า เขาแทบหมดราคาเลยในสายตาของผมทันทีที่เขาพูดแบบนั้น เราไม่คิดใช้วิธีแบบนั้นแน่
แล้วผมจะบอกไว้เลยนะ คุณไปบอกเขาได้เลยถ้าดูอยู่ เราจะยังสู้ต่อเพื่อคว้าแชมป์ให้ได้ เขายังต้องไปเยือนมิดเดิลสโบรห์และชนะให้ได้ และผมขอบอกตรงๆ เลยว่า ผมจะสะใจมากถ้าเราเป็นฝ่ายเอาชนะพวกเขาได้ สะใจโคตรๆ เลย”
และคำพูดของคีแกนที่บอกว่า “และผมขอบอกตรงๆ เลยว่า ผมจะสะใจมากถ้าเราเป็นฝ่ายชนะพวกเขาได้ สะใจโคตรๆ เลย” ก็กลายเป็นประโยคเด็ดของพรีเมียร์ลีก ซึ่งได้รับการโหวตให้เป็นคำพูดที่น่าจดจำที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ ของการแข่งขันรายการนี้ หลังจากเคยได้รับการโหวตให้เป็นอันดับหนึ่งมาแล้วในทศวรรษแรก
น่าเสียดายที่คิงเคฟไม่มีโอกาสได้สะใจอย่างที่หวัง เมื่อนิวคาสเซิลทำได้แค่เสมอกับสเปอร์ส 1-1 ในบ้านตัวเองในนัดสุดท้าย ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ดบุกไปชนะมิดเดิลสโบรห์ 3-0 ทำให้ผีแดงคว้าแชมป์ไปด้วยคะแนนที่เหนือกว่า 4 แต้ม
มาถึงตอนนี้หลายคนคงจะเตรียมตัวรอสะใจอยู่ เมื่อแมนฯ ยูไนเต็ดกำลังจะเปลี่ยนบทบาทจากเมื่อ 16 ปีก่อน ในการลงลุ้นแชมป์กับแมนฯ ซิตี้ในนัดสุดท้ายของฤดูกาล ด้วยสถานการณ์ที่เป็นรอง หลังปล่อยให้ความได้เปรียบ 8 แต้มหลุดมือไปในช่วงไม่กี่นัดหลัง โดยเกมสำคัญที่ชี้ชะตาก็คือเกมดาร์บี้แมตช์ที่เรือใบเฉือนชัยผี 1-0
ครั้งนี้โอกาสของผีแดงดูจะริบหรี่เลือนรางเต็มที เพราะแม้จะมีคะแนนเท่ากับเรือใบสีฟ้า แต่ผลต่างประตูได้เสียตามหลังถึง 8 ลูก และความหวังที่จะยืมจมูกคนอื่นหายใจ ด้วยการภาวนาให้ควีนส์ปาร์คบุกไปเก็บแต้มกลับมาจากเอติฮัด สเตเดี้ยม ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อดูจากฟอร์มของทั้งสองทีมในฤดูกาลนี้
นอกจากนั้นแมนฯ ยูไนเต็ดก็ต้องหวังบุกไปคว้าชัยเหนือซันเดอร์แลนด์ให้ได้ที่สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ด้วย ถ้าทำไม่ได้ก็เกมจบทันทีแบบไม่ต้องไปลุ้นผลของคู่แข่งให้เมื่อยตุ้ม
นับเป็นอีกครั้งที่ผีแดงต้องมาลุ้นแชมป์แบบลุ้นระทึกในนัดสุดท้ายของฤดูกาล และเป็นการลุ้นแชมป์กับเรือใบสีฟ้าเป็นครั้งที่สอง ซึ่งแทบจะถอดแบบกันมากับครั้งแรกในศึกดิวิชั่น 1 เดิมของฤดูกาล 1967/68
ครั้งนั้นแมนฯ ยูไนเต็ดลงแข่งนัดสุดท้ายในอันดับ 2 ของตารางด้วยคะแนนเท่ากับแมนฯ ซิตี้ และต้องลุ้นให้คู่แข่งพลาดเพื่อตัวเองจะชนะและแซงเข้าป้ายไป แต่สุดท้ายผีแดงเองดันพลาดท่าแพ้ซันเดอร์แลนด์คาบ้าน ส่วนเรือใบบุกไปเฉือนนิวคาสเซิล 4-3 คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ และนั่นเป็นครั้งหลังสุดที่ทีมสีฟ้าแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ได้ครองแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ
ขณะที่ก่อนจะมาแซงนิวคาสเซิลเป็นแชมป์ได้ในฤดูกาล 1995/96 แมนฯ ยูไนเต็ดก็อกหักมาจากฤดูกาลก่อนหน้านั้น เมื่อไล่บี้ลุ้นแชมป์กับแบล็คเบิร์นมาตลอด และตามหลังอยู่ 2 คะแนนก่อนลงเตะนัดสุดท้าย ซึ่งกุหลาบไฟต้องไปเยือนลิเวอร์พูล ส่วนผีแดงก็ต้องไปเยือนเวสต์แฮม
แม้หงส์แดงจะช่วยสกัดดาวรุ่งด้วยการคว้าชัยได้ที่แอนฟิลด์ 2-1 แต่ผีแดงดันทำไม่ได้เอง เมื่อทำได้แค่เสมอกับขุนค้อน 1-1 ชวดแซงเข้าป้ายคว้าแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย
ส่วนครั้งล่าสุดที่แมนฯ ยูไนเต็ดพลาดโอกาสซิวแชมป์ในนัดสุดท้ายคือเมื่อ 2 ปีก่อน เมื่อขับเคี่ยวกับเชลซีมาอย่างคู่คี่สูสีในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง โดยต่างฝ่ายต่างผลัดกันพลาดจนเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายขึ้นมานำ แต่ผีแดงก็มาพลาดในช่วงท้ายๆ โดยเฉพาะการถูกสิงห์บลูส์บุกมาเฉือนคาบ้าน 2-1 ทำให้สุดท้ายคู่แข่งก็นำอยู่ 1 แต้มก่อนลงเตะนัดสุดท้าย
เช่นเคย ที่แมนฯ ยูไนเต็ดต้องลุ้นให้เชลซีพลาดในนัดสุดท้าย แต่สิงห์บลูส์ก็จัดหนักด้วยการถล่มวีแกน 8 เม็ด ทำให้ชัยชนะเหนือสโต๊ค 4-0 ของผีแดงไร้ความหมาย ต้องชวดการทำสถิติคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัยติดต่อกันไปในที่สุด
ฤดูกาลนี้ผีแดงก็คงไม่สมหวังกับเป้าหมายที่จะเพิ่มสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของเมืองผู้ดีให้ได้เป็นสมัยที่ 20 หลังสร้างสถิติใหม่ 19 สมัยได้ในฤดูกาลที่แล้ว แถมยังเป็นการผิดหวังที่น่าจะชอกช้ำระกำใจที่สุดสำหรับเหล่าผีแดงและป๋าเฟอร์กี้ เพราะมันเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของคู่ปรับร่วมเมืองที่ถูกขี่ถูกข่มมาตลอดอย่างเรือใบสีฟ้า
ที่สำคัญดันเป็นการพลาดเองแบบไม่น่าให้อภัยทั้งที่โอกาสคว้าแชมป์ใสแจ๋วแหววเมื่อหนึ่งเดือนก่อน สุดท้ายก็ดันมาพลาดท่าตกม้าตายตอนจบเองแบบโทษใครไม่ได้
เบบี้ แบร์