สถานีต่อไป...พรีเมียร์ลีก

สถานีต่อไป...พรีเมียร์ลีก

สถานีต่อไป...พรีเมียร์ลีก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
หลังการสิ้นอำนาจลีกที่แข็งแกร่งที่สุดอย่าง เซเรีย อา เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้ พรีเมียร์ลีก กำลังเดินตามรอยเท้านั้นไป ไม่ติดชิดแน่น แต่ดูแล้วก็มีแววที่จะพังได้ไม่ยาก

 

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลที่แล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือตัวแทนหนึ่งเดียวจากแดนผู้ดีที่เหลือรอดไปถึงรอบ 8 ทีม หลังจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ร่วงรอบแบ่งกลุ่ม เช่นเดียวกับ เชลซี ที่โดนลดชั้นไปเป็นแชมป์ ยูโรปา ส่วน อาร์เซน่อล ก็จอดป้าย เพราะ บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งท้ายที่สุด "ปิศาจแดง" ก็จอดป้ายด้วยฝีเท้าของ เรอัล มาดริด

1 ปีที่แล้ว ทุกคนคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะก่อนหน้านั้น เชลซี เพิ่งคว้าแชมป์ และถ้าย้อนไปดู ทีมแดนผู้ดีก็ทำได้ยอดเยี่ยมเสมอมา อย่างน้อยก็ไปถึงรอบตัดเชือก แต่จนตอนนี้กับผลงานในรอบน็อคเอาท์ เลกแรก 3 ใน 4 ส่อแววตกรอบ แม้ทุกคนจะพูดว่า โอกาสยังพอมี แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ทฤษฎีซึ่งเอาเข้าจริง ทีมที่พอจะผ่านเข้าด่าน 8 อรหันต์ อาจมีแค่ 2 จาก 4 และเป็นการเข้ารอบแบบเหนื่อยแทบตาย

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พวกเขาเป็นยอดทีมอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งซีซั่นนี้ได้ มานูเอล เปเยกรินี่ กุนซือปริญญาด้านวิศวกรรมศาสตร์มานำทัพ สไตล์ก็ยิ่งดุดัน เล่นสนุกรุกไปถอย สมกับที่มีแข้งชั้นยอด ไม่ครึ่งๆ กลางๆ ตั้งหน้าอุด ยิงเม็ดเดียวแล้วตีหัวเข้าบ้าน จะว่าโชคชะตาเล่นตลกก็ไม่ได้ เพราะ "เรือใบสีฟ้า" ยังใหม่กับเกมยุโรป ไม่ใช่ขาประจำเหมือนทีมคู่ปรับร่วมเมือง ค่าสัมประสิทธิ์น้อย ทำให้ทุกครั้งที่จับสลาก ต้องอยู่โหลสุดท้าย และไม่พ้นชะตาชนทีมใหญ่เหมือน 2-3 ปีที่แล้ว

 

 

เรือใบสีฟ้าอยู่ในเส้นทางที่ลำบากดันมาเจอทีมขวัญใจยูฟ่าอย่างบาร์ซ่าล้มนอกเขตก็ได้จุดโทษ

 

แม้จะเป็นสุดยอดทีมแค่ไหน แต่ แมนฯ ซิตี้ ก็ยังมีจุดอ่อน เกมรับถือว่าค่อนข้างมีปัญหา และความไม่เข้าขาแบบสนิทแน่นเทียบเท่า บาร์เซโลน่า ทำให้เรือแตก ไปไม่ถึงฝั่ง และบางทีทุกคนอาจมีจุดเล็กๆ ที่รู้สึกว่ายักษ์ใหญ่แดนกระทิงดุยากจะต้านทาน

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขามักจะมีโชคเล็กๆ กับการจับสลากแบ่งสายหรือประกบคู่ ทำให้เจอทีมที่ไม่ตึงมือเท่าไร ถ้าเป็น 2-3 ปีก่อน ได้เจอกับ โอลิมเปียกอส บ่อนรับพนันถูกกฎหมายแทบจะปิดราคาที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะพา "ปิศาจแดง" ผ่านเข้ารอบต่อไปได้เลย แต่กับกุนซือผู้สืบทอดที่ชื่อ เดวิด มอยส์ ซึ่งทุบทุกสถิติ ไม่มีใครแน่ใจว่าจะเกิดขึ้น และเมื่อผลเกมแรกออกมา ทุกคนก็ได้แต่กุมขมับพร้อมกับพึมพำว่า "กูนึกแล้ว!"

 

 

ช่วงหลังแฟนผีน่าจะเห็นภาพเขี่ยบอลมากกว่าภาพการฉลองประตูนะ

 

จุดอ่อนของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้อยู่ที่เกมรับอย่างเดียว แต่แทบจะทุกจุด และนัดหน้าแม้จะกลับมาเล่นในบ้าน แต่ก็อย่างที่เห็นในลีกว่า เดวิด มอยส์ แจกแต้มแถมประตูมากมายขนาดไหน ที่น่าเหนื่อยก็คือ เหมือนนักเตะจะเล่นกันอย่างไร้ใจ ต่อให้ตามลูกเดียวก็คงไม่สู้เอาคืน ถึงขั้นแพ้โชว์ได้เลย

อาร์เซน่อล เหมือน เดจาวู ภาพซ้อน ภาพเก่าตามหลอกหลอน เนื่องจากไม่สามารถจบรอบแบ่งกลุ่มในฐานะแชมป์ได้ ก็ต้องเจองานยากเป็นเรื่องปกติ และพวกเขาก็ต้องมาเจอ บาเยิร์น อีกครั้ง เสมือนโชคชะตาเล่นตลก จุดอ่อนของ "ปืนใหญ่" อยู่ที่เกมรุกเข้าขั้นฝืด เมื่อเจอกับแชมป์เก่าที่ครบเครื่องทุกตำแหน่งแน่นอนว่ายากที่จะต้านทาน แม้จะมีกองกลางดี แนวรับแน่น แต่เมื่อความสมดุลย์ยังเทียบคู่แข่งไม่ได้ ผลก็เป็นอย่างที่เห็น
 

 

 

จุดเปลี่ยนสำคัญ หากโอซิล ยิงจุดโทษเข้าจะกุมความได้เปรียบ แต่พอทำไม่ได้ก็โดนพี่เสือลงโทษ

 

จุดที่น่าสนใจเกี่ยวกับ อาร์แซน เวนเกอร์ และลูกทีมคือ ช่วงเดือนก.พ.ถึงมี.ค. แข้ง "ปืนใหญ่" มักจะร่วงตกรอบจากทุกถ้วยแบบรูดลงไม่มีขึ้น และว่าวแชมป์ลีกไปในตอนท้าย แม้จะเกาะกลุ่มเป็นอันดับต้นๆ แต่เมื่อไม่มีแชมป์ทุกอย่างก็ว่างเปล่า เหมือน โอลิมปิก ที่คนจำเฉพาะเหรียญทอง แต่บ่อยครั้งลืมเหรียญเงินและเหรียญทองแดง

เชลซี มี พัฒนาการในแนวรับขึ้นบ้าง แม้จะยังเสียง่าย แต่ก็ไม่บ่อยเท่ากับช่วงต้นซีซั่น ส่วนแนวรุกยังคงเป็นปัญหา ความฝืดไม่ได้ดีกว่า อาร์เซน่อล เท่าไร เกมเยือนค่อนข้างแย่ ชนะยาก ส่วนเกมในบ้านพอไหว หนืดบ้าง เหนื่อยบ้าง จุดแข็งอยู่ที่แท็คติกของ โชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งเขาเจ๋งพอจะรับมือกับทุกคนได้ ใช้ฝีมือมากหน่อย และใช้ดวงบ้าง
 

 

 

เชลซีดูดีกว่า 3 ทีมก่อนหน้านี้ตรงที่ทำประตูนอกบ้านได้แถมไม่แพ้

 

สำหรับถ้วย "บิ๊กเอียร์" พวกเขามีโชค จากที่เกือบจะเป็นที่ 2 ในรอบแบ่งกลุ่ม สุดท้ายก็เข้ามาในฐานะแชมป์ ความจริงแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้โชคดีนักที่ต้องเจอ กาลาตาซาราย แต่ถ้าเทียบชื่อชั้นก็ยังเหนือกว่านิดๆ เหลือแค่เกมในบ้านถ้าไม่พลาดเอง แต่ต่อจากนี้คือของจริง รอบหน้า มูรินโญ่ และลูกทีจะได้พิสูจน์ว่าดีพอหรือไม่ ซึ่งด่านถัดไปเจอใครก็เหนื่อยแน่นอน

เชื่อหรือไม่ 11 ตัวจริงของทั้ง 4 ยักษ์แดนผู้ดี มีแค่ 13 แข้งเท่านั้นที่เป็นคนอังกฤษ เทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว นับได้ 32.5 เปอร์เซ็นต์ คำพูดที่ว่าลีกอังกฤษจะสิ้นอำนาจ แม้จะไม่จริง แต่ก็เกือบจริง และการมานักเตะต่างชาติมากมาย ส่งผลถึงทีมชาติอังกฤษแน่

รอย คีน บอกไว้ว่า คนอังกฤษน่าจะลืมตาตื่นและเลิกคิดว่าลีกบ้านเราเจ๋งสุดๆ "ดีที่สุด" ซึ่ง "คีโน่" น่าจะพูดถูก เพราะยอดผู้ชมไม่ได้บอกว่าลีกไหนดีที่สุด อาจเป็นเพียงแค่ "ได้รับความนิยมสูงสุด" หรือ "มีพลังมากที่สุด" หรือ "สนุกที่สุด" เนื่องด้วยการลุ้นแชมป์ไม่วนเวียนอยู่แค่ 2-3 ทีม เล็กใหญ่ก็แพ้กันได้หมด มาตรฐานใกล้เคียงกัน

หรือคิดกลับกัน นอกจากความเป็นชาติมหาอำนาจ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่คนทั่วโลกเข้าใจได้ ถ้าวันไหนภาษาสากลกลายเป็นภาษาสเปน เวลานั้น ยอดผู้ชม ลา ลีกา อาจกระโดดจาก 2.2 ล้าน เป็น 12.3 ล้านก็ได้

 

 

1 ในนักเตะอังกฤษอันน้อยนิดที่ได้ลงเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก

 

ภาษาอิตาเลี่ยนไม่ใช่ภาษาที่คนทั้งโลกเข้าใจ ยุครุ่งเรืองของลูกหนังแดนมะกะโรนี หนืด ฝืด น่าเบื่อ แท็คติกเพียบ เกมช้า ทีมกลุ่มลุ้นวนเวียนมีไม่กี่หน้า แต่ครั้งหนึ่งพวกเขาก็เคยเป็นมหาอำนาจ และคว้าแชมป์โลกระดับชาติมากที่สุดในยุโรป บางทีอังกฤษน่าจะดูอิตาลีเป็นบทเรียน แต่ไม่ต้องเจริญรอยตาม

ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยผลิตเยาวชนได้มากมาย สร้างชื่อให้ประเทศชาติ ทุกคนไม่สนใจไปค้าแข้งต่างประเทศ เพราะเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวว่า กัลโช่ ยอดเยี่ยมที่สุด และกุนซือทีมชาติก็ไม่ยอมเลือกนักเตะที่ค้าแข้งต่างแดน หรือไม่ก็น้อยมาก หยิบแต่รายชื่อที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว หมดยุคที่จะต้องเล่นแค่ที่บ้านเกิด

เมื่อโลกเทคโนโลยีเปิดกว้างทุกอย่าง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัส โอกาสแจ้งเกิดในต่างแดนไม่ใช่ไม่มี กุนซือบินข้ามประเทศได้รวดเร็ว เห็นฟอร์มอย่างทั่วถึงแค่กดดูคลิปย้อนหลัง อังกฤษและสเปนให้รายได้ที่มากกว่า เพราะทีมแดนพิซซ่าขนเงินให้แข้งอเมริกาใต้ไปหมด เหตุผลที่ต้องอดทนมีน้อยลง

ตอนนี้ แนวโน้มเกมลูกหนังอังกฤษถ้าตัดเรื่องความเร็ว ความหนักหน่วงของเกม การดาหน้าเข้ามาหากินของแข้งต่างชาติเพราะเงินสะพัดอาจทำลาย พรีเมียร์ลีก ได้ ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่ถ้าไม่รีบเปลี่ยนแปลง พรีเมียร์ลีก จะเป็นสถานีต่อไปที่ความล้มเหลวในระดับยุโรปมาเยือน  

เนซึมิ หอยทะเลคุง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook