"ผมมาเพื่อเป็นผู้เบิกทาง" : แปลบทสัมภาษณ์ "ชนาธิป" จากนิตยสาร Soccer Digest

"ผมมาเพื่อเป็นผู้เบิกทาง" : แปลบทสัมภาษณ์ "ชนาธิป" จากนิตยสาร Soccer Digest

"ผมมาเพื่อเป็นผู้เบิกทาง" : แปลบทสัมภาษณ์ "ชนาธิป" จากนิตยสาร Soccer Digest
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เป็นบทสัมภาษณ์จากนิตยสารฟุตบอลที่ดังมากของญี่ปุ่น Soccer Digest นิตยสารที่ออกเดือนละสองครั้งที่ญี่ปุ่นค่ะ

ครั้งนี้พี่เจได้มาให้สัมภาษณ์ในฉบับที่วางแผงเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม และจะวางขายจนถึงวันที่ 26 ตุลาคม

แถมได้รูปใหญ่ไปหน้านึงเต็มๆด้วย ดีใจมากกกกกกกกกก

(ปล. บทความนี้แปลโดยตรงจากหนังสือฉบับจริง ถ้าแปลผิดพลาดยังไงก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ)

-------------------------------------------

แปลบทสัมภาษณ์ "ชนาธิป สรงกระสินธ์" ฉบับเต็ม จากนิตยสาร Soccer Digest ฉบับที่สองของเดือนตุลาคม 2017 วางแผง 12 ตุลาคม 2017 ญี่ปุ่น

ชนาธิป สรงกระสินธ์ มิดฟิลด์ทีมชาติไทยของ Consadole Sapporo เพื่อจะเป็น "ผู้เบิกทาง" ให้ได้

 1

หลังจากที่ย้ายมาค้าแข้งที่ซัปโปโรได้ประมาณ 3 เดือน ชนาธิปก็คว้าตำแหน่งตัวจริงและกลายมาเป็นผู้เล่นแถวหน้าของทีมที่จะขาดไปไม่ได้ในศึกเจลีกนัดที่ยังเหลืออยู่  สิ่งที่เขาได้ให้สัมภาษณ์กับเรานั้นมันคือการแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้เพื่อเป็นตัวแทนของฟุตบอลไทยด้วยความภาคภูมิ

Q : เมื่อช่วงที่ผ่านมาที่คุณได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี (MVP) จากสมาพันธ์ฟุตบอลอาเซียน ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ

“ขอบคุณครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมาก แต่ว่าด้วยกำลังของผมคนเดียวคงจะไม่ได้รับรางวัลนี้มาหรอกครับ จนถึงตอนนี้ ผมก็อยากจะขอบคุณกำลังใจจากโค้ชทุกคนที่ได้สอนผมมา ทีมงานสต๊าฟ เพื่อนร่วมทีมมากมาย รวมถึงแฟนบอลทุกท่านที่ได้ให้การสนับสนุน ผมมีแต่ความรู้สึกที่อยากจะขอบคุณพวกเขาอยู่เต็มหัวใจเลยล่ะครับ”

Q : เป็นครั้งที่สองแล้วที่คุณได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ แต่ในครั้งนี้เป็นการได้รับจากการมาค้าแข้งยังต่างประเทศ คุณมีความรู้สึกพิเศษลึกๆอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหมครับ?

“ผมคิดว่าเหตุผลหลักๆอาจจะเป็นในเรื่องที่ว่าผมได้รับเลือกให้มาเล่นที่เจลีก ซึ่งเป็นลีกอันดับต้นๆของเอเชีย แต่ด้วยคำว่านักฟุตบอลมืออาชีพ ผมคิดว่าไม่ว่าจะไปเล่นที่ไหนก็ต้องตั้งใจที่จะสร้างผลงานให้ได้ ก่อนหน้านี้ ถ้าหากว่าผมสามารถทำผลงานในญี่ปุ่นได้มากกว่านี้แล้วได้รับรางวัลมา มันอาจจะมีความรู้สึกที่แตกต่างจากตอนนี้ขึ้นมาก็ได้ แต่ตัวผมเอง ผมคิดว่าความท้าทายนี้มันยังเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น ผมเลยยังไม่ได้รู้สึกว่ามันประสบความสำเร็จแล้วน่ะครับ”

 3

Q : คุณย้ายมาค้าแข้งที่ซัปโปโรได้ประมาณ 3 เดือนแล้ว ชีวิตที่ญี่ปุ่นเป็นยังไงบ้างครับ?

“ตอนนี้ดีมากๆเลยครับ คนในทีมให้การต้อนรับผมอย่างอบอุ่น คนญี่ปุ่นเองก็สุภาพแล้วก็ใจดี แน่นอนครับว่าอาหารก็อร่อย ผมชอบเนื้อย่าง (Yakiniku) โดยเฉพาะเนื้อติดมันส่วนท้อง (Carlby) ผมยังไม่เคยทานเนื้อส่วนนี้ที่มันนุ่มอย่างนี้ที่ไทยเลยครับ ตอนนี้ผมก็ผ่านไปที่ร้านเนื้อย่างใกล้ๆที่พักอยู่บ่อยๆ (หัวเราะ) ในวันหยุดผมก็จะออกไปข้างนอก ไปนั่งที่ร้านกาแฟ แต่จะแตกต่างจากที่ไทย คนญี่ปุ่นเขาก็รู้นะว่าเป็นผม เขาก็ให้พื้นที่ส่วนตัว แต่ว่าบางทีผมก็โดนขอจับมือแบบไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน ก็เลยไม่สามารถจะชิลล์ๆได้เท่าไหร่ แต่แน่นอนครับว่าผมรู้สึกขอบคุณจริงๆ เอาเป็นว่าผมก็ผ่อนคลายกับการอยู่ที่ญี่ปุ่นครับ”

Q : ตอนนี้คุ้นเคยกับสไตล์การเล่นในเจลีกหรือยังครับ? คุณได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นตัวจริงหลังจากเข้าร่วมทีมเลย เป็นตัวทำเกมรุกของซัปโปโร

“ผมรู้สึกว่าผมสามารถรับมือกับการเล่นตัวต่อตัวได้ดีขึ้น ผมรู้ตั้งแต่ก่อนย้ายมาว่าฟุตบอลญี่ปุ่นนั้นเป็นฟุตบอลที่มีแทคติกเยอะมาก ในจุดนั้นมันค่อนข้างที่จะต่างกับที่ไทยเยอะ ผมเลยคำนึงถึงจุดนี้ แต่สำหรับตัวผมแล้ว สิ่งที่มันมากกว่านั้นคือประสบการณ์ที่ได้ร่วมฝึกซ้อมกับสโมสรของเจลีก หลายปีก่อนหน้านี้ ผมได้รับโอกาสให้ไปร่วมฝึกซ้อมกับสโมสร Shimizu S-Pulse ตอนนั้นผมก็รู้สึกว่า ‘ฟุตบอลญี่ปุ่นมันเป็นแบบนี้เองสินะ’ ผมได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก พอกลับไปที่ไทย ผมก็เอาสิ่งนั้นมาใช้ในตอนที่เล่นฟุตบอล ด้วยบทเรียนเหล่านั้น ผมก็เอามันมาใช้กับการเล่นที่ซัปโปโรเช่นกัน ถ้าจะให้เปรียบเทียบกันแล้ว มันก็คือความต่อเนื่องของบอล ผมว่าผมทำได้ดีขึ้นครับ ถ้าผมไม่ได้รับประสบการณ์ในครั้งนั้น ผมอาจจะเป็นนักเตะตัวจริงที่เอาแต่รอรับบอลที่มาจากเพื่อนในทีมคนอื่นอย่างเดียวโดยที่ไม่ป้องกันอะไรเลย โดยเฉพาะกับที่ซับโปโร การป้องกันต้องหนักแน่นเพราะผมก็จะถูกเรียกบอลจากเพื่อนอยู่บ่อยๆน่ะครับ ฟุตบอลมันเล่นคนเดียวไม่ได้ กำลังของคนๆเดียว มันไม่สามารถที่จะเอาชัยชนะมาได้หรอกครับ ฟุตบอลญี่ปุ่นสอนผมในเรื่องนี้”

 2

Q : คุณสูง 158 เซนติเมตร แต่ผมไม่ค่อยเห็นคุณเพลี่ยงพล้ำในการเล่นเกมกดดันเลย

“ผมเป็นคนที่รูปร่างเล็กมาตั้งแต่เด็กครับ ผมถูกคุณพ่อพูดบ่อยๆครับ ว่า ‘คิดดูให้ดีๆสิว่าจะทำยังไงให้ชนะนักเตะที่ตัวสูงใหญ่ได้’ เราซ้อมไปทุกวันๆโดยที่คิดอยู่ตลอดว่าไม่ให้ร่างกายเราปะทะกับกำลังจากฝั่งตรงข้ามตรงๆ อีกอย่างหนึ่งคือเรานึกเสมอว่า ‘เราจะไม่แพ้นักเตะตัวใหญ่’ ถึงแม้ว่าจะโดนกระทบกระทั่ง แต่ความรู้สึกตั้งมั่นของผมมันหนักแน่นมากครับ”

Q : และเมื่อคุณมีความรู้สึกนั้น มันเป็นอย่างไรครับ?

“ถ้าผมไม่หนักแน่นในความรู้สึกนั้น สภาพร่างกายของผมก็คงจะแข็งแรงไม่ได้เลย ตั้งแต่เมื่อก่อน ผมก็คิดมาอย่างนี้ ผมคิดว่า ความรู้สึกที่ไม่อยากจะแพ้นั้นมันเป็นตัวที่ทำให้ร่างกายอดทนไปอย่างเป็นธรรมชาติครับ แน่นอนว่าในทุกๆวัน ผมก็ต้องฝึกฝน เทรนนิ่งเพื่อนสร้างกล้ามเนื้อแบบไม่ให้ขาดเช่นกันครับ”

 4

Q : แทบจะไม่มีเหตุการณ์ที่คุณบาดเจ็บตรงไหนจนต้องล้มลงไปในสนามเลยนะครับ

“ถ้าบาดเจ็บรุนแรง ผมว่าก็คงจะลุกยืนไม่ได้อยู่แล้วล่ะครับ (หัวเราะ) แต่ถ้าเกิดว่าเจ็บเล็กน้อยแล้วยังสามารถเล่นต่อได้ ผมก็จะวิ่งต่อครับ ผมมาเล่นที่นี่โดยมีความรู้สึกว่าเป็นตัวแทนของฟุตบอลไทยอยู่ ถ้าหากว่าผมเล่นด้วยคุณภาพที่ไม่ดี ก็อาจจะสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้กับนักเตะไทยทั้งหมดได้ เพราะฉะนั้น ผมจะรออยู่อย่างนั้นตลอดไม่ได้ ผมจะล้มลงไปง่ายๆไม่ได้ครับ”

Q : ด้วยความสำเร็จของคุณในตอนนี้ ในฤดูกาลหน้าก็อาจจะมีนักเตะไทยเพิ่มขึ้นในเจลีกก็ได้นะครับ

“ถ้าเกิดว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ได้แข่งกับคนบ้านเดียวกัน ผมจะดีใจมากเลยล่ะครับ ผมก็ตามดูจากสื่อของไทยนะครับ ที่เห็นมีข่าวมาว่าอาจจะเป็นพี่อุ้ม ธีราทร หรือ พี่มุ้ย ธีรศิลป์ สินะครับ? (นักเตะสังกัดเดียวกับชนาธิปก่อนจะย้ายมาด้วยสัญญายืมตัว สโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด) ด้วยความสามารถของพวกเขานั้นไม่มีข้อกังขาอะไรเลย ถ้ามีโอกาส ก็อยากให้แฟนบอลญี่ปุ่นได้รับรู้ครับ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วครับว่าเมื่อเทียบกับไทยลีก เจลีกนั้นอยู่ในระดับที่สูงมาก การจะประสบความสำเร็จที่นี่มันไม่ใช่งานง่ายเลย แต่ถ้าพวกเราสามารถกรุยทางแล้วทำสำเร็จที่ญี่ปุ่นได้ ผมคิดว่าก็จะสามารถเป็น ‘คนเบิกทาง’ ให้กับเด็กๆรุ่นต่อไปได้ครับ เพื่อเป้าหมายนั้น ผมก็จะพยายามซ้อมมากขึ้นและมากขึ้นไปอีก อยากจะยกระดับให้ดีขึ้นครับ”

 5

Q : ตั้งแต่เข้ามาร่วมทีมกับซัปโปโร แมตช์ไหนที่เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดครับ?

“ทั้งหมดเลยล่ะครับ (หัวเราะ) เพราะว่าการแข่งขันทุกนัดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอิ่มใจที่ได้ลงไปเล่น แล้วทุกนัดก็มาตรฐานสูง ผมจำการแข่งขันทุกนัดได้ในแบบนั้นครับ แต่ถ้าจะให้ยกตัวอย่างมาซักหนึ่งนัด ก็คงจะเป็นนัดที่ได้ลงเล่นอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ได้มาเล่นที่นี่ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ในรายการ Levain Cup กับ Cerezo Osaka นะครับ (รอบ play-off นัดที่ 2) เป็นนัดที่ความฝันที่ได้มาเล่นที่ญี่ปุ่นของผมเป็นความจริงขึ้นมา ถือว่าเป็น ‘ก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่’ สำหรับผมจริงๆครับ เสียดายที่เราแพ้ในนัดนั้น แต่ผมก็ตื่นเต้นที่ได้เล่น แล้วก็มีความสุขมากครับ”

Q : เราเดินทางกันมาถึงช่วงท้ายของฤดูกาลนี้แล้ว ขอทราบเป้าหมายในฤดูกาลหน้าหน่อยครับ?

“เหนือสิ่งอื่นใดคือต้องทำให้ทีมอยู่รอดใน J1 ให้ได้ครับ ตอนนี้ผมยังทำประตูไม่ได้ เป็นสิ่งที่ผมถูกสื่อถามถึงอยู่บ่อยๆ ตัวผมเอง ถึงแม้ว่าจะทำประตูไม่ได้ แต่ผมก็ขอให้ทีมชนะดีกว่าครับ อย่างที่ผมได้บอกไปแล้วว่า ฟุตบอลไม่สามารถเล่นเพียงลำพังได้นั่นแหละครับ ไม่ว่าผมจะทำประตูได้ หรือว่าเพื่อนร่วมทีมทำประตูได้ ความดีใจของผมก็มากพอๆกัน นั่นเป็นความรู้สึกที่สำคัญครับ”

 6

Q : ตอนนี้คุณอายุ 23 ปี มีนักเตะญี่ปุ่นที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุณได้เริ่มออกไปเล่นที่ยุโรปอย่างต่อเนื่อง มันเป็นแรงกระตุ้นให้คุณอยากลองไปบ้างหรือเปล่าครับ?

“เป้าหมายสำหรับชีวิตการเล่นฟุตบอลของผมนั้น ก่อนอื่นคือการเล่นที่เจลีกครับ ตอนนี้ฝันนั้นเพิ่งจะเป็นจริงไปได้ไม่นาน ผมคิดว่าผมควรจะสู้ที่นี่ต่อไปให้คุ้นเคยก่อนครับ ก่อนที่จะประสบความสำเร็จแบบพวกเขาได้ ผมก็ต้องมองเป้าหมายถัดไปก่อน ก่อนอื่นก็ต้องทำให้ซัปโปโรยังอยู่ใน J1 ต่อไปให้ได้และทำให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับด้วยการทุ่มกำลังทั้งหมดที่มี ตอนนี้ผมคิดแต่เพียงเท่านั้นครับ อย่างไรก็ตาม ผมก็จะทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อซัปโปโรครับ”

Translate : Saokun (thailandsusu)

อัลบั้มภาพ 20 ภาพ

อัลบั้มภาพ 20 ภาพ ของ "ผมมาเพื่อเป็นผู้เบิกทาง" : แปลบทสัมภาษณ์ "ชนาธิป" จากนิตยสาร Soccer Digest

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook