My Liverpool โดย มาร์ค สุรเดช

My Liverpool โดย มาร์ค สุรเดช

My Liverpool โดย มาร์ค สุรเดช
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล: ในที่สุดความหวังที่จะคว้าแชมป์รายการในประเทศของ ลิเวอร์พูล ก็มีอันต้องฝันสลายจบลงไปอย่างเป็นทางการแล้วหลังจากพวกเขาโดนทีเด็ดของทีมจาก ลีก วัน อย่าง โอลด์แฮม

ที่มีอดีตกองหน้าร่างเล็กจอบแสบอย่าง พอล ดิ๊กคอฟ คุมทีม เขี่ยตกรอบฟุตบอลเอฟเอ คัพ อย่างเจ็บแสบด้วยสกอร์ 3-2 เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

นอกจากความพยายามที่จะทำอันดับเพื่อกลับไปเล่นในรายการอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้ในซีซั่นหน้า ลิเวอร์พูล ยังคงเหลือความหวังกับการลุ้นแชมป์ฟุตบอลถ้วยอยู่สองรายการในฤดูกาลนี้

โดยนอกจากการพบกับ เซนิท เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ในรอบ 32 ทีมของถ้วยยูโรป้า ลีก แล้ว ลิเวอร์พูล ยังอยู่ในเส้นทางของการลุ้นแชมป์เอฟเอ คัพ อยู่ หลังจากบุกไปปราบ แมนส์ฟิลด์ ทีมจากนอกลีกลงได้ในรอบก่อนหน้านี้

ล่าสุด ลิเวอร์พูล ต้องเดินทางไปเยือน โอลด์แฮม แอธเลติก ที่สนาม บาวน์ดารี่ ปาร์ค ถิ่นของทีม โอลด์แฮม แอธเลติก ที่ปัจจุบันมีสถานภาพเป็นทีมอยู่ในระดับลีก วัน

โดยสำหรับการจัดตัวของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ในเกมนี้เขาเลือกที่จะดร็อปผู้เล่นอย่าง เกล็น จอห์นสัน, สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ ลูคัส ไว้ที่ม้านั่งสำรอง

ขณะเดียวกันเกมรุกของทีมขยับเอา หลุยส์ ซัวเรซ ไปยืนในแผงกลางและส่ง ฟาบิโอ บอรินี่ หัวหอกอิตาเลี่ยนที่หายเจ็บกลับมาแล้วลงล่าตาข่ายในแดนหน้าคู่กับ ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ที่ยิงประติดต่อกันมา 3 เกมนับตั้งแต่ที่ย้ายมาจาก เชลซี ในตลาดซื้อขายรอบสอง

ทั้งสภาพสนาม, แรงลม และ ฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง รวมกับความมุ่งมั่นของผู้เล่น โอลด์แฮม ที่หวังจะล้างตาจากที่เคยแพ้ต่อ ลิเวอร์พูล ในรอบที่ 3 ของเอฟเอ คัพ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว

ทำให้ลูกทีมของ ดิ๊กคอฟ มุ่งมั่นกับเกมนี้ตั้งแต่เขี่ยเริ่มเกมและเพียงแค่ 3 นาทีแรกของเกมเท่านั้น โอลด์แฮม ก็ได้ประตูขึ้นนำไปก่อน

จากลูกโหม่งของกองหน้าวัย 23 แม็ตต์ สมิธ ที่โขกบอลจากการเปิดเข้ามาทางด้านกราบซ้ายโดย ยุสซุฟ เอ็ม'ชางกาม่า เข้าไป

โดยจังหวะขึ้นโหม่ง สมิธ เอาชนะ เซบาสเตียน โคอาเตส กองหลังดาวรุ่งชาวอุรุกวัยของ ลิเวอร์พูล ก่อนจะโหม่งผ่าน แบร็ด โจนส์ เข้าไปโดย มาร์ติน สเคอร์เทล พยายามจะสกัดบอลออกมาจากบนเส้นแต่ก็ไม่ทันการ

สำหรับ สมิธ นั้นหลังจากเขาโดนยกเลิกสัญญาการเป็นนักเตะอาชีพกับ เชลท์แน่ม เมื่อตอนอายุได้ 18 ปี เขาก็หันไปเอาดีกับการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาจนได้รับปริญญาทางด้านการจัดการระหว่างประเทศเป็นดีกรีพ่วงท้ายด้วย

แต่หลังจากเสียประตูนี้ ลิเวอร์พูล ก็บุกหนักทันที และเมื่อถึงนาทีที่ 17 จังหวะที่แผงหลังของ โอลด์แฮม ขยับเดินขึ้นมาสูง หลุยส์ ซัวเรซ ก็สบโอกาสพาบอลและใช้สปีดความเร็วกระชากเข้าไปยิงผ่าน ดีน บูซานิส เข้าไปให้สกอร์กลับมาเท่ากัน 1-1

เกมทำท่าจะว่าจะจบด้วยการเสมอกันแต่ในช่วงทดเวลาเจ็บของครึ่งแรกนี่เอง โอลด์แฮม ก็มาได้ประตูที่สองจาก แม็ตต์ สมิธ เจ้าเก่า

โดยจังหวะก่อนที่จะได้ประตูนี้ดูเหมือนว่า ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ น่าจะได้ฟาวล์ก่อนแล้วแต่ผู้ตัดสินในเกมนี้ ลี โปรเบิร์ต ไม่เห็นและปล่อยให้เกมเล่นต่อไป

ทว่าในจังหวะที่ วาบาร่า โยนบอลจากด้านขวาเข้ากลางแต่ผู้รักษาประตูของ ลิเวอร์พูล ในเกมนี้ แบร็ด โจนส์ กลับรับบอลหลุดมือจนโดน ครอฟท์ ไหลต่อให้กับ สมิธ ซัดเข้าไปง่ายๆพร้อมกับจบครึ่งแรกด้วยประตูนี้

กลับมาเล่นครึ่งหลังไม่ทันไร ลิเวอร์พูล หวิดจะตีเสมอได้ทันควันแต่ ฟาบิโอ บอรินี่ กลับพลาดอย่างไม่น่าเชื่อในจังหวะตวัดบอลข้ามคานออกหลัง เมื่อไม่ได้ประตูตีเสมอ ลิเวอร์พูล กลับต้องมาสังเวยประตูที่สามไปอีก

เมื่อ วาบาร่า โหม่งลูกเปิดของ วินเชสเตอร์ หนีมือของ โจนส์ เข้าไปอีกครั้งพร้อมกับทำให้ โอลด์แฮม หนีห่างเป็น 3-1

ถึงนาทีที่ 55 เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ต้องตัดสินใจแก้เกมด้วยการถอด อังเดร วิสด้อม แบ็คดาวรุ่งออกพร้อมกับส่ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ลงมาบัญชาการเกมตรงกลางสนาม

เกมของ ลิเวอร์พูล เมื่อได้ เจอร์ราร์ด ลงมาดีขึ้นทันตาเห็น พวกเขากลับมาสร้างโอกาสทำประตูได้หลายจังหวะ แต่ต้องรอจนถึงก่อนหมดเวลาประมาณ 10 นาทีจากลูกวอลเลย์ของ โจ อัลเลน ที่ไปแฉลบนิดหนึ่งแต่ก็เข้าประตูไป

และแม้ ลิเวอร์พูล จะเดินหน้าเต็มที่ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถจะทำประตูเพิ่มได้อีกทำให้หมดเวลากลายเป็น โอลด์แฮม ที่ตบเท้าผ่านเข้าสู่รอบที่ 5 ไปได้สำเร็จ

และพลิกล็อคไม่น้อยเมื่อพวกเขาสามารถโค่นเอาชนะอดีตแชมป์รายการนี้ 7 สมัยอย่าง ลิเวอร์พูล ลงได้สำเร็จ

โดยผลการจับสลากประกบคู่ที่ออกมานั้นปรากฏว่า โอลด์แฮม จะยังได้เล่นในบ้านต่อไปและคู่ต่อกรของพวกเขาก็คือทีมจากเมือง ลิเวอร์พูล เช่นกันแต่เป็น เอฟเวอร์ตัน ของ เดวิด มอยส์ ที่ยืนขวางทางอยู่

โดย เอฟเวอร์ตัน นั้นมีผลงานที่แข็งแกร่งไม่น้อยในฤดูกาลนี้ทั้งอันดับในตารางคะแนนและพวกเขาก็หวังที่จะคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ให้ได้ในฤดูกาลนี้ให้ได้หลังจากทำสำเร็จหนสุดท้ายในรายการนี้เมื่อปี 1995 ด้วยการปราบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงได้สำเร็จในปีดังกล่าว

สำหรับ พอล ดิ๊กคอฟ การพาทีมโค่น ลิเวอร์พูล ลงได้ทำให้เก้าอี้กุนซือของเขาดูจะมั่นคงขึ้นมาอีกพอสมควรหลังจากที่ก่อนหน้านี้ โอลด์แฮม มีผลงานในศึก ลีก วัน ไม่สู้ดีนักเมื่ออยู่เหนือโซนตกชั้นเพียงคะแนนเดียว

บวกกับสถานภาพการเงินของทีมทำให้ประธานสโมสรอย่าง ไซม่อน คอร์นี่ย์ ขู่จะปลดอดีตกองหน้าอารมณ์ร้อนรายนี้ออกจากตำแหน่ง

อย่างไรก็ดีกับการที่ทีมผ่านเข้าสู่รอบที่ 5 ได้และมีโอกาสจะไปไกลถึงรอบตัดเชือกเหมือนอย่างที่เคยทำได้เอาไว้หนสุดท้ายในปี 1994 ทำให้ ดิ๊กคอฟ น่าจะได้รับโอกาสพิสูจน์ฝีมือของตัวเองต่อไปอีก

ทางด้าน เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ให้สัมภาษณ์แบบผิดหวังหลังเกมจบว่า เขารู้สึกเสียดายกับฟอร์มการเล่นของลูกทีมในวันนี้โดยเฉพาะกับบรรดาดาวรุ่งที่ได้รับโอกาสลงสนามแต่กลับทำผลงานได้ออกมาไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่

"ผมรู้สึกผิดหวังไม่น้อยกับผลงานของเด็กๆในวันนี้เมื่อพวกเขามีโอกาสดีที่จะลุ้นความสำเร็จกับฟุตบอลถ้วยอย่างเอฟเอ คัพ"

"เราเสียสมาธิกันค่อนข้างมากในเกมจนกระทั่งช่วง 35 นาทีท้ายของเกมที่ทุกอย่างดูดีขึ้นมา ความเข้มข้นในเกมของพวกเราช่วงต้นเกมทำกันได้น่าผิดหวัง"

"เราเสียบอลกันง่ายเกินไปและสังเกตุเห็นได้ชัดว่าเราดูเป็นรองในเรื่องของความแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ดีต้องขอแสดงความยินดีกับ โอลด์แฮม ด้วยจริงๆ"

"แม็ตต์ สมิธ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้เล่นที่ดีเพียงใด แต่เราก็เคยรับมือกับกองหน้าที่เก่งๆแบบนี้มาไม่น้อย"

"เอฟเอ คัพ นั้นเป็นถ้วยที่สำคัญและเราก็มุ่งมั่นที่จะไปให้ได้ไกลที่สุดในรายการนี้ ซึ่งเราก็ไม่มีคำแก้ตัวใดๆทั้งสิ้นสำหรับความพ่ายแพ้ เราได้ส่งทีมที่คิดว่ามีศักยภาพเพียงพอที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ลงไปเล่น แต่เราเป็นฝ่ายที่ทำไม่สำเร็จเอง"


ทั้งนี้ความพ่ายแพ้ต่อ โอลด์แฮม ครั้งนี้ยังนับเป็นหนแรกตั้งแต่ปี 1959 เลยด้วยที่ ลิเวอร์พูล ตกรอบในเอฟเอ คัพ ด้วยการออกไปพ่ายต่อทีมที่อยู่ต่ำกว่าพวกเขาถึงสองดิวิชั่น

โดยในปีนั้น ลิเวอร์พูล ร่วงตกรอบของฟุตบอลเอฟเอ คัพ ด้วยน้ำมือของทีมนอกลีกอย่าง วอร์เชสเตอร์ ซิตี้

ลิเวอร์พูล จะเหลือลุ้นแชมป์บอลถ้วยรายการสุดท้ายในฤดูกาลนี้ใน ยูโรป้า ลีก ที่พวกเขาเคยทำได้ดีที่สุดด้วยการเข้าไปถึงรอบตัดเชือกมาแล้วในฤดูกาลแรกที่ปรับรูปแบบและเปลี่ยนชื่อจาก ยูฟ่า คัพ มาเป็น ยูโรป้า ลีก

โดยสมัยที่ยังเป็นชื่อ ยูฟ่า คัพ เดิมนั้น พวกเขาเคยได้แชมป์ในรายการนี้มาถึง 3 สมัยซึ่งถือเป็นสถิติร่วมสูงสุดด้วย

โดยคู่ต่อสู้ของ ลิเวอร์พูล ที่รออยู่ก็คือทีมแกร่งจาก รัสเซีย อย่าง เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ที่จะเล่นเลกแรกกันก่อนที่ รัสเซีย ในวันที่ 14 ก.พ. ก่อนที่จะกลับมาเล่นเลกสองที่ แอนฟิลด์ ในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา

กลางสัปดาห์นี้ ลิเวอร์พูล ยังมีโปรแกรมหนักรออยู่ในพรีเมียร์ลีกเมื่อจะต้องยกพลไปเล่นกับ อาร์เซน่อล ที่ เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม ในคืนวันพุธซึ่งทั้ง อาร์เซน่อล และ ลิเวอร์พูล ก็คงหวังที่จะเก็บชัยชนะในเกมนี้ให้ได้เพราะมีเป้าหมายเดียวกันนั่นคือการยึดพื้นที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้จงได้

ซึ่งเราก็คงต้องส่งกำลังใจให้กับพวกเขาเยอะๆล่ะครับในการจะลุ้นไปเก็บคะแนนกลับออกมาเพราะช่วงหลังๆ ลิเวอร์พูล เองก็เจอความลำบากเสมอเวลาที่เล่นกับทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ ต้องสู้กันต่อไปครับทั้งนักเตะและแฟนบอล

เพราะเมื่อรัก ลิเวอร์พูล แล้ว มันยากที่จะถอนตัวครับ

เรื่องโดย: มาร์ค สุรเดช

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook